ลูปลุงรัง หนังผีตุ้งแช่ และ Jump Scare ฟีลหว่องกาไว

เป็นวันที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมีผลการแข่งขันที่ย่ำแย่อีกครั้งจากการเสมอ 1-1 (ในเวลา)มาสามเกมติดต่อกัน ทั้งจากเกมเจอมิดเดิลสโบรห์ที่เล่นยาวถึง 120 นาที, เกมเบิร์นลีย์ และลา่สุด เกมเปิดบ้านเจอเซาธ์แธมพ์ตัน จาก300นาทีในเวลา (120+90+90 =300) ปีศาจแดงบวกสกอร์ได้แค่ "3 ลูก" เท่านั้น แปลว่าเราต้องใช้ 100 นาทีในการยิงให้ได้สักลูกหนึ่ง
หลายคนคงเริ่มอยากรู้แล้วว่า ปัญหาหลักของแมนยูไนเต็ดตอนนี้อยู่ที่ไหน?
เมื่อดูสถิติการเล่นในสนาม สิ่งหนึ่งที่เห็นปัญหาชัดเจนก็คือ เราขาดความเฉียบคมในการจบสกอร์ ที่เปลี่ยนแปลงโอกาสยิง(อันมากมาย)ให้กลายเป็นประตูขึ้นมาได้
แม้ว่าแมนยูไนเต็ดในมือของราล์ฟ รังนิค จะทำได้ดีขึ้นในเรื่องของการทำเกม การครองบอล เกมรับ และการเซ็ตบอลของทีมที่ดูดีขึ้นจากการสร้างจังหวะจบสกอร์ใส่คู่แข่งได้เยอะขึ้น
แต่ต่อให้ทีมสร้างสรรค์เกมได้เยอะเพียงไหน ถ้ายิงไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี เพราะฟุตบอลไม่มีคะแนนความสวยงาม ไม่ได้ให้ใครชนะจากการที่สร้างโอกาสยิงได้มากกว่า
และฟุตบอลวัดกันที่ "ประตู"
สิ่งดีๆที่พอจะเห็นได้บ้างในเกมนี้
หลายคนอาจจะคิดว่าปัญหาในเรื่องนี้เพิ่งเริ่มมาเป็นในสามนัดหลังสุดที่ได้แค่เสมอ 1-1 สามเกมติด แต่จริงๆมันเรื้อรังมาตั้งแต่การเริ่มสตาร์ทคุมทีมตั้งแต่เกมแรกของราล์ฟ รังนิคแล้ว
ต้องยอมรับว่าเป็น "เรื่องจริง" ที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ และเราสามารถตำหนิผู้จัดการทีมกันได้ ถ้าคุมเกมหน้างานไม่ดีพอ และพาทีมเก็บผลลัพธ์ที่สำคัญๆไม่สำเร็จ แต่ในด้านดีที่ทำให้ทีมมีระเบียบมากขึ้น การเล่นดูแน่นอนขึ้น เราก็ควรต้องมองถึงข้อดีในเรื่องนี้เหมือนกัน
แฟนบอลจะต้องเข้าใจและแยกแยะทีละประเด็นๆไป ไม่ใช่เหมารวมว่า เขา "โคตรเก่ง" ไปหมดซะทุกอย่าง หรือด่าว่าเขาว่า "กระจอก" ซะจนไม่มีอะไรดีขนาดนั้น
แฟนบอลที่ดีควรแยกแยะเรื่องเหล่านี้ได้ด้วยความเข้าใจ เพราะจุดไหนที่ดี ก็ต้องกล้าบอกว่าดี แต่ถ้ามีจุดไม่ดีก็ไม่ควร "หลอกตัวเอง" เช่นกัน
ศาลาผีจะเล่นกูแล้วสินะ.. รังนิคอาจจะอยากกล่าวแบบนี้
ขอเกริ่นเรื่อง "ข้อดี" ก่อน เพราะบทความนี้ตั้งใจจะชี้ให้เห็นปัญหาเป็นหลัก แต่ก็ต้องเขียนดักไว้ด้วยว่า เรื่องที่ดีขึ้นแบบเห็นได้ชัดมันก็มีเช่นกัน โดยเฉพาะในเรื่อง "สมดุลทีม" อย่างที่เขาพูดช่วงแรกๆว่า "แมนยูไนเต็ดไม่ควรจะต้องยิงถึง 3 ประตูเพื่อที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้" (เปรียบเทียบให้เห็นในเกมชนะอาร์เซนอล 3-2)
ยิงประตูได้เยอะมันดีก็จริง แต่จริงๆแล้วทีมไม่ควรจะเสียประตูเยอะขนาดนั้น ยิงได้เยอะแต่คุณก็ควรจะต้องมีเกมรับที่ดีด้วยในเวลาเดียวกัน เพื่อให้มัน "บาลานซ์" ซึ่งกันและกัน
ผลก็คือหลังจากนั้น แมนยูไนเต็ดสามารถหยุดความดำดิ่งที่โดนคู่แข่งยิงประตูทีละมากๆในหลายๆเกมก่อนนั้นได้
เช่นที่แพ้ลิเวอร์พูล แพ้ซิตี้คาบ้าน รวมกัน 0-7 และยังมีการบุกไปแพ้วัตฟอร์ด 4-1 อีกในยุคของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ซึ่งนั่นก็กลายเป็นเกมสุดท้ายของเขา และเห็นได้จากผลการแข่งขันว่าปีนี้ยุคโอเล่มีปัญหาหนักเรื่องเกมรับอย่างมาก ก่อนหน้านั้นก็มีโดนเลสเตอร์ที่ฟอร์มตกในปีนี้ สอยไปถึง 4-2 แบบเละเทะ
แต่ตั้งแต่ราล์ฟ รังนิคเข้ามาคุมทีม (13นัด) แมนยูไนเต็ดโดนยิงเกิน1ลูกเพียงแค่นัดเดียวเท่านั้น คือเกมเสมอแอสตันวิลล่า 2-2 แต่นอกนั้นอีก12เกมภาใต้ยุครังนิค ยูไนเต็ดถ้าไม่คลีนชีท ก็โดนยิงแค่ประตูเดียว
ชัดเจนว่า เกมรับของทีมดีขึ้นแบบเห็นได้ชัด และ "แพ้ยากขึ้น" นี่คือข้อดีในยุครังนิค ที่แฟนบอลก็ควรต้องพิจารณาข้อดีนี้ของเขาเช่นกัน ซึ่งจุดที่ทำให้มันเกิดขึ้นได้ คือเรื่องของการเล่น Pressing ในจังหวะที่ทีมไม่มีบอล ยูไนเต็ดทำได้ดีในการเพรสเข้าหาคู่แข่งจนสร้างเกมบุกใส่ทีมได้ยากขึ้น รวมถึงการบีบพื้นที่การเล่นขึ้นมาสูงขึ้นในแดนกลาง ไม่เล่นเกมรับอยู่ในแดนตัวเอง ทำให้โอกาสยิงของคู่แข่งน้อยลง และลดปริมาณโอกาสยิงของคู่แข่งได้มากขึ้น
มีความพยายามเล่น High Pressing อยู่ สังเกตตำแหน่งของ ชอว์ แม็คโทมิเนย์ และ แมกไกวร์ แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ มีช่องให้โดนแกะเพรสเยอะ
สิ่งเหล่านี้คือข้อดีของทีมยุครังนิค ในphase2ของสถานการณ์การเล่นของทีมที่เรา "ไม่มีบอล"อยู่กับตัว (play without ball) ซึ่งเป็นเรื่องที่พัฒนาขึ้นจริงๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อย่าลืมปัจจัยในเรื่องของการที่ทีมเรามีนักเตะตัวแบกเกมอย่าง ดาวิด เดเคอา อยู่ด้วย ที่ระเบิดฟอร์มร่างGod Handในปีนี้ ไม่งั้นไอ้เกมรับที่ว่าดีๆนี่ก็ไม่น่ารอดเหมือนกันในหลายๆเกมที่น้องเด เปิดอัลติโชว์ซุปเปอร์เซฟซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนได้รางวัลสโมสรมาหลายเดือนติด
เกมรับที่ดีขึ้นของทีม ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดเช่นกัน ต้องไม่ลืมว่า เรามีนายทวารคนนี้คอยช่วยเอาไว้ ในช่วงที่ฟอร์มพีคที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิตนักฟุตบอล
และที่สำคัญที่สุดก็คือ แม้ว่าเกมรับโดยรวมจะดีขึ้นจริง แต่ปัญหาการเล่นที่เป็นความผิดพลาดรายบุคคลของนักเตะในแนวรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนเป็นกัปตันทีมอย่าง แฮรี่ แมกไกวร์ ก็ยังคงทำให้แนวรับของทีมเกิดปัญหาอยู่บ่อยๆ ตามที่เราเห็นกันในสนาม ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกรงใจอะไรกันอีกแล้ว เพราะฟอร์มย่ำแย่จริงๆ
ก็ได้แต่หวังว่า ลินเดอเลิฟจะฟิตไวๆ และกลับมาแย่งตำแหน่งเขาสำเร็จ เพื่อจะได้เอาระเบิดออกไปจากอกสักที รวมถึงเป็นการริบปลอกแขนกัปตันทีมไปให้คนอื่นได้กลายๆด้วย
เกมรับโดยรวมดีขึ้นจริงจากการคุมพื้นที่ แต่ก็ยังมีนักเตะบางตัวที่เล่นห่วยๆ และพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีกจนสร้างความเสียหายให้ทีมเสมอ
ที่กล่าวมาคือประเด็นของเกมรับ ที่การคุมทีมของรังนิคนั้นควบคุมการเสียประตูให้ทีมได้ดี ตามที่เขาต้องการจะทำให้ทีมมีความสมดุลในภาคการเล่นมากขึ้น
แต่ว่า "สมดุล" ที่รังนิคต้องการนั้น มันมาแค่ด้านเดียวในภาคเกมรับที่ปิดโอกาสคู่แข่งได้ดี
กลายเป็นว่า "เกมรุก"
ที่เคยเล่นกันอย่างสนุกและยิงได้เยอะๆจากยุค OGS
ก็หายไปเช่นกันเมื่อ RR เข้ามาคุมทีม
ผมเขียนงี้ยิ้มเลยนะน้า
ในยุคของโอเล่ กุนนาร์ โซลชานั้น เกมรุกของแมนยูไนเต็ดมีหลายๆครั้งที่มักจะยิงประตูกันได้มากมายต่อเกม ที่เห็นชัดๆก็เช่น เกมบุกไปสอยสเปอร์ส ร่วง 0-3 / ชนะลีดส์ 5-1 นัดเปิดสนาม / ชนะนิวคาสเซิล 4-1 เกมเปิดตัวรอบสองของCR7
และเมื่อรวมปีที่แล้ว เราจะเห็นชัดว่า แมนยูไนเต็ดยิงกระจุย บุกกระจายมากๆ เวลาที่ทำประตูได้มักจะไหลเสมอ จนกระทั่งเกิดเกมที่ชนะเยอะๆอย่างแมตช์ที่อัด "เซาธ์แธมพ์ตัน" 9 ประตูต่อ 0 ได้
ยิงได้เยอะตอนไม่มีใครอยู่ที่สนามด้วย-*-
แต่ในการเจอกับทีมเดียวกันดังกล่าว ในปีนี้แมนยูไนเต็ดกลับทำได้แค่เสมอ 1-1 กับเซาธ์แธมพ์ตันทั้งสองนัด ไม่ว่าจะยุคโอเล่หรือยุครังนิค ก็ตามที สกอร์เดียวกันเป๊ะๆ
สกอร์ 1-1 สามนัดล่าสุดของแมนยูนั้น จริงๆแล้วแต่ละเกม แมนยูควรจะยิงประตูได้ถึงสองสามเม็ดกับโอกาสจะแจ้งที่มีหลายครั้งแต่ทำไม่ได้ ความย่ำแย่ในเรื่องนี้ยังคงหลอกหลอนเป็นแพทเทิร์นที่หลายคนเริ่มเดาได้แล้วตามสเต็ป
ขอเรียกมันว่า "ลูป(เล็กๆ)ของลุงรัง" ก็แล้วกัน มีสเต็ปดังต่อไปนี้
1. เริ่มครึ่งแรกมา แมนยูจะบุกอย่างสนุกสนาน สร้างโอกาสยิงที่ใกล้เคียงเป็นประตูหลายครั้ง แล้วก็จะยิงขึ้นนำก่อน 1 ลูก
2. จากนั้นก็จะมีช็อตที่พลาดโอกาสทองที่จะนำห่างอีกหลายๆครั้ง จากที่อาจเป็น 2-0 หรือ 3-0 ได้ แต่จบครึ่งแรกให้แฟนผีตายใจด้วยการนำ 1 ลูก ยังดี๊ด๊ามีความสุขกันอยู่
3. เกมครึ่งหลังมา แมนยูไนเต็ดเริ่มที่จะแผ่วลง จากการเล่นที่เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือคู่แข่งแก้แทคติกมา แล้วในที่สุดก็โดนตีเสมอจนได้
4. แมนยูไนเต็ดพยายามบุกคืน แต่ยิงไม่ได้ ฮึดไม่ขึ้น ดูหมดแรง และแทบไม่ได้ลุ้นอะไรในครึ่งหลัง
5.สุดท้ายจบสกอร์ 1-1 ไม่เสียเพิ่ม แต่ก็ยิงชนะไม่ได้
6. ลุ้นเชียร์กันต่อไปนัดหน้า แล้ววนกลับไปนับข้อ 1. ใหม่ -*-
ลูปแห่งรังนิค
นับตั้งแต่เข้ามาคุมทีม ราล์ฟ รังนิค แมนยูไนเต็ดมักจะยิงได้แค่ 1 ถึง 2 ลูกต่อเกมแทบทุกนัด เกมที่ยิงได้เยอะๆก็หายากเหลือเกิน โดยที่ 13 เกมของรังนิค มีนัดที่ "ยิงเกิน1ลูก" แค่3เกมเท่านั้น
เกมชนะเบิร์นลีย์ 3-1 ตอนช่วงสิ้นปี2021, เกมที่บุกไปเสมอกับแอสตันวิลล่า 2-2 และ เกมที่บุกไปชนะเบรนท์ฟอร์ด 1-3 กลางสัปดาห์ช่วงกลางเดือนมกราคม นั่นคือนัดสุดท้ายจริงๆที่เรายิงได้เกิน 1 ลูก
แต่นอกนั้น 10 เกม ยิงได้แค่ "นัดละลูก" เท่านั้น ซึ่ง 5 เกมในนั้นคือการชนะด้วยสกอร์ 1-0
และอีก 5 เกมคือการเสมอกับคู่แข่ง 1-1
มันเริ่มที่จะไม่ตลกแล้วกับปัญหาที่เป็น "แผลเรื้อรัง" ของแมนยูไนเต็ด ที่เกมแต่ละเกมมีความสามารถที่ยิงคู่แข่งได้เพียงเท่านี้ ซึ่งถือเป็นฟอร์มการเล่นที่แย่มาก
ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมแฟนผีดูบอลช่วงนี้แล้วรู้สึกไม่มีความสุข หรือ ไม่สุดเลยสักกะนัด เพราะความสุขของแฟนบอลมันหายไปเยอะ
คุณรู้สึกไหม? ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
สีหน้าแฟนผีด้านหลังน่าจะตอบได้ดี
ต้องย้อนกลับไปยังเบสิคเหมือนที่พี่ปู แบล็คเฮด ถามคำถามเบสิคๆว่า "มีความสุขหรือเปล่า?" กับความสุขในการดูฟุตบอลแบบธรรมดาๆที่ว่า คนเราชอบดูบอลกันเพราะอะไร ความสุขของการดูบอลอยู่ตรงไหน?
ผมสามารถตอบคำถามนี้แทนทุกๆคนได้เลย
มันก็คือความดีใจเวลาที่ "ยิงประตูได้" ไงล่ะ!!! นั่นแหละคือเบสิคของความสุขที่ได้รับเวลาเชียร์ทีมรัก
และสิ่งที่เกิดขึ้นในยามที่ดูแมนยูช่วงนี้ โดยเฉพาะยุคอาจารย์ราล์ฟก็คือ ความสุขดังกล่าวมันหายไปเยอะมาก เนื่องจากทีมยิงประตูได้น้อยจนน่าตกใจนั่นเอง แฟนๆ Red Devils เลยอึนๆกันอยู่ในสภาพนี้
สภาพแฟนผีในปัจจุบันเวลาดูแมนยูแข่ง
เรื่องของการยิงประตูมีปัจจัยอยู่หลายๆอย่าง ประการแรกสุดเลยก็คือ การเซ็ตเกม ทำเกมบุก ครองบอลขึ้นมาให้ถึงหน้ากรอบเขตโทษคู่แข่งให้ได้ นั่นคือจุดเริ่มต้นของการสร้างโอกาสและลุ้นทำประตู
ซึ่งช่วงนี้ยูไนเต็ดทำได้ไม่ถึงกับแย่มากในเรื่องการ buile-up และ chances creation เพราะสถิติการเล่นในเกมก็ยังพอที่จะบ่งบอกได้อยู่บ้างว่า มีการสร้างสรรค์โอกาสได้อยู่
เกมเจอเดอะโบโร่ ยูไนเต็ดสร้างโอกาสยิงไป 30 ครั้ง ยิงเข้ากรอบ 9 ครั้ง ได้มา 1 ประตู จาก 120 นาที
เกมเจอเบิร์นลีย์ ยูไนเต็ดก็ยังทำเกมรุกได้ถึง 22 ครั้ง ยิงเข้ากรอบไปแค่ 5 ครั้ง ได้มา 1 ประตู จาก 90 นาที
เกมเจอเซาธ์แธมพ์ตัน ยูไนเต็ดสร้างโอกาสยิง 12 ครั้ง เข้ากรอบไปถึง 8 ครั้ง แต่ก็ยังได้มาแค่ 1 ประตู จาก 90 นาที
โอกาสยิง "แปรผันตรง" กับความแข็งแกร่งของคู่แข่งชัดเจน
เจอทีมเดอะแชมเปี้ยนชิพบุกแหลก สร้างโอกาสได้30ครั้ง ยิงเข้ากรอบได้แค่ราวๆ 1ใน3, เจอกับเบิร์นลีย์ที่อยู่บ๊วยๆ สร้างโอกาสไป20กว่าครั้ง ยิงเข้ากรอบได้แค่ 1 ใน 4 และสุดท้าย เจอทีมที่ต้องยอมรับว่าแข็งแกร่งจริงๆอย่างเซาธ์แธมพ์ตันที่เขายันได้กระทั่งซิตี้ และยิงแซงท็อตแน่มชนะ 2-3 คาบ้านไปเมื่อเกมที่แล้ว โอกาสยิงที่ยูไนเต็ดทำได้ก็ลดหลั่นกันลงมา
แต่.. การยิงเข้ากรอบได้ถึง 8 ครั้ง แต่ก็ยังทำประตูได้แค่ "ลูกเดียว" เหมือนกับสองนัดที่ผ่านมา มันคืออะไรกันแน่!!?
เราเริ่มเห็นปัญหาเกมยุครังนิคได้ชัดขึ้นเรื่อยๆแล้วว่าทีมในตอนนี้กำลังมีปัญหาหนัก และขาด "การจบสกอร์" ที่เฉียบคมและดุดันเหมือนทีมชั้นนำทีมอื่นๆเขาที่ก็เห็นเขายิงกันได้นัดละ 2-3 ลูกกันแบบสบายๆ
โดยเฉพาะเกมเจอเบิร์นลีย์ กับ โบโร่นี่คือใช่เลย ส่วนเกมเมื่อวานที่เสมอกับเซาธ์ฯนั้น อาจจะยกเว้นให้ เพราะว่า เซาธ์แธมพ์ตันอยู่คนละระดับกับสองทีมแรก ลูกทีมของราล์ฟ ฮาเซนฮึทเทิลเล่นกันได้อย่างดุดัน แข็งแกร่ง และเฉียบคมมากๆ ทั้งในภาคการเพรสซิ่ง และการทำเกมที่โบ๊ะบ๊ะ ดูอันตรายกว่ายูไนเต็ดเยอะเวลาที่ครองบอล
เกมเมื่อวานเซาธ์แธมพ์ตันสร้างโอกาสยิงได้มากกว่ายูไนเต็ด(13) ตรงกรอบน้อยกว่า(4) แต่ก็เป็น "1 ประตู" เท่ากัน
รังนิคให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้ถึงปัญหาของทีม เขาเองก็รู้ดี และพูดเรื่องนี้ใน Post-match interview แทบทุกครั้ง รังนิคกล่าวเอาไว้ว่า "วันนี้เรามีค่าความน่าจะเป็นที่ทำประตูได้อยู่ที่ 2.57 ซึ่งเทียบกับเซาธ์แธมพ์ตันแล้วพวกเขามี xG แค่ 0.57 เท่านั้น เพราะงั้นปัญหามันไม่ใช่เรื่องของจำนวนการสร้างโอกาสยิง แต่มันเป็นเรื่องของการที่เข้าทำแล้วไม่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอ"
xG แมนยูไนเต็ดที่น่าจะได้ประตู มันมากกว่าทีมนักบุญถึง "2" เต็มๆ แต่กลับทำสกอร์ได้ 1-1 เท่ากัน การที่ ยิงได้น้อยกว่า xG ถึง 1.57 แปลว่าทีมเราใช้โอกาสเปลืองมาก และทิ้งความน่าจะเป็นที่ได้ประตูไปมากตามตัวเลขดังกล่าว ซึ่งก็ใกล้ๆจะเป็น "อีกเกือบ 2 ประตู" เลยที่ทำได้ (นั่นแปลว่าถ้าเราทำได้ตาม xG วันนี้ก็มีโอกาสที่จะเป็น 2-1 หรือ 3-1อยู่)
ส่วน ค่าของเซาธ์แธมพ์ตัน 0.57 แต่ยิงประตูได้หนึ่งลูก นั่นแปลว่าเขาใช้โอกาสที่น่าจะเป็นประตูที่มีอยู่น้อยนิด (แค่ 0.57 ครึ่งเดียวของหนึ่งลูกซะด้วยซ้ำ) แต่กลับแปรเปลี่ยนเป็นประตูได้ มันคือการสะท้อนให้เห็นว่าการจบสกอร์ของพวกเขามัน effective กว่าทีมเราหลายเท่าจริงๆ ที่ยิงได้ด้วยโอกาสใกล้เคียงประตูที่น้อยกว่ามากๆ
ความยากของประตูเช อดัมส์ คือคำตอบในเรื่องนี้
ส่วนเราก็ได้แต่ลองเปิดๆเข้าไปในกรอบ แล้วบอลก็ไปไม่ถึงโรนัลโด้เหมือนเดิม ในขณะที่โด้เองได้บอล ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก และเสียบอลในแดนหน้าบ่อยครั้งมากๆ การจบสกอร์ก็ดูขาดพลังงานอย่างแรง
ปัญหาหลักๆมันอยู่ที่แรงขับ ความกระหาย และจิตวิญญาณแห่งความดุดันในการเข้าทำประตูที่สัมผัสไม่ได้เลย
ยูไนเต็ดขาดเขี้ยวเล็บและความคมในแดนหน้าอย่างรุนแรง จากการที่ 3 ใน 4 ตัวรุกหลักเกิดอาการฟอร์มวูบไปอย่างที่เห็น
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ต้องยอมรับว่าการเล่นในแดนหน้าเริ่มที่จะต้านความหนักหนาในพรีเมียร์ลีกไม่อยู่ เก็บบอลไม่ได้ในฐานะกองหน้าตัวเป้า ไม่มีพลังพอที่จะเล่นเพรสซิ่งได้ตลอดเวลา(แต่แกก็พยายามแล้วนะ) และการใช้งานโรนัลโด้ แฟนผีควรไปโฟกัสกับเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ที่ไม่ได้เล่นบอลที่ใช้กายภาพเท่าฟุตบอลอังกฤษดีกว่า
เราหวังให้ CR7 ระเบิดฟอร์มการเล่นในยุโรปได้ ส่วนการแก้ปัญหาในพรีเมียร์ลีก ทีมอาจจะต้องใช้ "เอดินสัน คาวานี่" มากกว่านี้ โดยที่ไม่ควรต้องเกรงใจให้โด้ลงเป็นหน้าเป้าตัวจริงในลีกอีกต่อไป เพราะเกมก็เริ่มลดน้อยลงไปเรื่อยๆทุกทีๆแล้ว
เอดี้จะช่วยได้ในเรื่องหน้าเป้า เน้นกันคนละถ้วยไปเลย (แต่ก็ไม่รู้จะหวังได้แค่ไหน ปีนี้เอดี้เจ็บบ่อยจริงๆ นัดนี้ก็อีกครั้งที่เขามีอาการบาดเจ็บบริเวณขาหนีบ และพยายามที่จะลงสนามแล้วแต่สุดท้ายหายไม่ทัน และไม่ผ่านความฟิตพอจะใส่ชื่อมาในเกมนี้)
บรูโน่ แฟร์นันด์ส ที่สร้างสรรค์เกมรุกไม่ได้เลยเนื่องจากถูกถอยลงมาเล่นต่ำลงในฐานะมิดฟิลด์เบอร์ 8 ในระบบ 4-3-3 มากขึ้น ในขณะที่เมื่อสวิตช์กลับมาเล่นแผน 4-2-3-1 ในสามเกมหลังที่มี ปอล ป็อกบา ลงสนามมาแล้ว ก็ยังฟอร์มไม่ดีขึ้นเมื่อทำเกมรุกไม่น่ากลัวเท่าสมัยที่ถูกใช้งานโดยโอเล่ กุนนาร์ โซลชา
พิษสงในการเติมเข้ากรอบเขตโทษแบบ Second Striker หายไปโดยสิ้นเชิง และนักเตะแบบบรูโน่ควรได้รับโอกาสในการทำเกมแดนสูงเป็นอาวุธหลัก โดยเพื่อนรอบๆตัวเขาควรจะต้องมีตัวเล่นร่วมกันอย่างน้อยสองคน ซึ่งนั่นคือ ปีกตัวรุก และการซัพพอร์ตของ แบ็ค หรือการดรอปลงมาเล่นร่วมกันจากผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า
เพราะเขาคือ Playmaker ที่จะทำเกมโดยการเป็นศูนย์กลางของเพื่อน
การให้บรูโน่พยายามฝืนเล่นด้วยตัวเองคนเดียว สิ่งที่เขาทำได้เวลาเจอคู่แข่ง low block ก็คือการเสี่ยงโยนเข้าไปในกรอบเขตโทษ ซึ่งก็ไม่เนี้ยบพอ และไร้พลังงานในการเปิดให้มันถึงเป้าหมายอย่างแม่นยำ
มาร์คัส แรชฟอร์ดเอง แม้จะทำแอสซิสต์ได้ แต่การเล่นโดยรวมก็ยังไม่ดีพอจากการที่โดนโยกไปเล่นข้างไม่ถนัดอย่าง RF และไม่สามารถช่วยทีมในภาคการทำเกมรุกได้สักเท่าไหร่ หรือจะรอยิงในลักษณะของการเป็นตัว Poacher อย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะจะมานั่งรอการทำเกมของเพื่อนก็คงไม่มีโอกาสได้ยิงมากนัก ก็ต้องรอการเล่นCounter-attack แค่อย่างเดียวถึงจะแผลงฤทธิ์ได้อย่างที่เห็นในประตู 1-0 แต่ในทุกๆเกม เมื่อถึงครึ่งหลังทีไร ฟอร์มก็ดรอปลงทุกที
รวมถึงปัญหาในเชิงแทคติกที่แพ้ทางการเล่นที่ถูกปิดผนึกแทบทุกครั้งเวลาที่ไม่มีพื้นที่ให้ใช้ความเร็วเล่นได้
เจอกับ low block ทีไร "แรชชี่" ก็ "เงียบฉี่" เช่นเดียวกันกับบรูโน่
ตัวรุกหลักเพียงคนเดียวในช่วงนี้ที่พอจะฝากผีฝากไข้ได้ ก็มีเพียงแค่ "เจดอน ซานโช่" ที่เข้าทำประตูได้อย่างสวยงามบ่อยครั้งจากตำแหน่งปีกซ้าย ที่เป็นฝั่งที่เขาถนัด และมีมุมให้ยิงมากมาย รวมถึงการครองบอลเลี้ยงจี้ใส่คู่แข่ง เจดอน ซานโช่ เป็นนักเตะพรสวรรค์สูงมากๆที่ฝีเท้าเยี่ยม และโคตรคล่องสุดๆในระดับที่เรียกว่า เงิน 72ล้านปอนด์ที่ทุ่มซื้อเขามา เป็นการลงทุนระยะยาวที่น่าจะคุ้มมากๆ
ถึงจะมีบางช็อตของซานโช่ที่ตัดสินใจผิดพลาดเช่นกัน ไม่ส่งให้เพื่อนในจังหวะแรก ลากไปยิงเองแล้วเสียบอลไป แต่โดยรวมก็ยังถือว่าเขาดีที่สุดอยู่ตัวเดียวของปีศาจแดงในช่วงนี้แล้ว
นี่แหละ คือการลงทุนที่คุ้มค่าจริงๆ และก็หวังว่าสโมสรคงจะไม่ทำอะไรงี่เง่าๆด้วยการพลาดปล่อยให้นักเตะอย่างนี้สัญญาหมดลงไป และไม่สามารถรั้งเขาให้อยู่กับทีมได้ ซ้ำรอยกับเคสของ ปอล ป็อกบา ที่เห็นการเล่นของเขาในแดนกลางแล้วก็ยังคงเสียดายอยู่ดีที่จะต้องเสียมิดฟิลด์รายนี้ไป ซึ่งก็ถึงเวลาที่ควรปล่อยเขาให้ไปประสบความสำเร็จกับที่อื่นแล้ว
มิติการเล่นและคุณภาพ ดีกว่ากลางทุกตัวที่มี ไม่ว่าจะเป็นแม็คโทมิเนย์ เฟร็ด รวมถึงบรูโน่ในร่างเบอร์8 ยังไงการเล่นของป็อกบาก็ยังคงมีความสำคัญต่อการเล่นของทีมมากๆ
ถ้าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมีมิดฟิลด์ตัวรับที่ดีตั้งแต่ช่วงแรกๆที่นำป็อกบาเข้ามา อะไรๆอาจจะดีกว่านี้เหมือนปีแรกๆของเขา ซึ่งมาติชยังคงอยู่ในช่วงท็อปฟอร์มอยู่
แต่พอมาติชอายุเยอะขึ้น แล้วกลางต่ำในทีมไม่มีใครให้ใช้งานนอกจากแม็คเฟร็ด ป็อกบาก็ไม่สามารถเล่นได้เหมือนกัน เพราะด้านหลังไม่มีมิดฟิลด์แข็งๆที่จะคุมเกมในแดนต่ำได้
ช่วงสองเดือนแรกของปี2022 แมนยูไนเต็ดมีโปรแกรมแข่งขันที่ค่อนข้างเบามากๆแล้ว ส่วนใหญ่เป็นการเจอทีมท้ายตาราง หรือกลางตาราง ที่ตัวผู้เล่นเป็นรองกว่าเราเยอะ และมักจะตั้งรับต่ำ
จริงๆแล้วนักเตะที่มีความสามารถน่าสนใจในการช่วยทีมเวลาเจอกับสถานการณ์จอดรถบัสในช่วงนี้ กลับเป็นสองคนที่ถูกปล่อยยืมออกไปทั้งคู่ และอีกหนึ่งคนที่ยังถูกลืมทิ้งไว้บนม้านั่งสำรอง
ผมหมายถึง อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล / ดอนนี่ ฟานเดอเบค และ ฮวน มาต้า
ออกจากแมนยูแล้วได้ดีทุกคน -*-
สองคนแรกดูเหมือนจะมีสถานที่ที่เป็นของพวกเขาแล้ว ทั้งน้องหมากที่ลงเล่นเป็นตัวจริงทางตำแหน่ง LW ของเซบีญ่า และทำ "แอสซิสต์" ได้สำเร็จให้กับ Rafa Mir ทำประตู 1-0 ให้ต้นสังกัด ก่อนจะชนะ 2-0 ต่อทีมเอลเช่เมื่อวานนี้
ดอนนี่ ฟานเดอเบค ลงสนามเป็นตัวจริงในพรีเมียร์ลีกครั้งแรกให้เอฟเวอร์ตัน และมีส่วนร่วมในการเปิดร่างGhost วิ่งหาตำแหน่ง ชี้นิ้วบอกเพื่อนอย่างฉลาด และเพื่อนก็เข้าใจเขา เล่นชิ่งวันทูกันระหว่าง เชมุส โคลแมน x แอนโธนี่ กอร์ดอน x ดอนนี่ ฟานเดอเบค อย่างสวยงาม
เห็น Passion มันมั้ย โอเล่ รังนิค?
โดยฟานเดอเบคหาตำแหน่งเข้าไปในกรอบเขตโทษ แล้วจ่ายยัดเข้าไปกดดดันหน้าประตูให้ DCL ในตำแหน่งหน้าเป้า แม้บอลของดอนนี่โดนสกัดออกมา แต่โคลแมนก็ตามเข้ามาซ้ำอย่างสวยงาม ซึ่งต้องชมทีมเวิร์คของเอฟเวอร์ตันในประตูแรกที่ขึ้นนำลีดส์ 1-0 ลูกดังกล่าว และเป็นความดีงามที่ดอนนี่ ฟานเดอเบค ได้ไปเล่นอยู่ในทีมที่รู้ใจ และสร้างการเล่นได้สวยงามตามเซนส์ที่เขามี
นี่คืออีกหนึ่งอาวุธที่แมนยูไนเต็ดโหลดเข้าในกรอบเขตโทษเพื่อจัดการกับ low block รวมถึงการวิ่งเข้าทำในจังหวะ Open Play เช่นนี้ ก็ไม่ด้อยไปกว่าตัวรุกคนไหนของแมนยูไนเต็ดชุดปัจจุบันเลย เซนส์ดีมาก
สุดท้าย ฮวน มาต้า ก็น่าจะสามารถพอจะช่วยทีมได้ในช่วงท้ายๆเกม ซึ่งเราประสบกับปัญหาที่บุกเพื่อกลับมาแซงอีกครั้งไม่ได้ในสามนัดหลังสุด ถ้าไหนๆก็ยังมีเขาอยู่กับทีม น่าจะลองส่งลงมาเล่นให้มากกว่านี้หน่อย เพราะคลาสบอลและเซนส์ในการโจมตีแนวรุกคู่แข่งของมาต้ายังคมกริบอยู่ ถ้าเขาได้รับโอกาสลงสนามมาบ้างเพื่อแทนนักเตะที่ปั้นเกมไม่ได้อย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด ในช่วงสิบนาทีสุดท้าย มิติและแรงกดดันที่มีมาต้าอยู่ เวลาได้ลูกฟรีคิก หรือครองบอลบุก จะต่างไปจากแรชฟอร์ดค่อนข้างมาก
ถ้าใช้ดีๆ มาต้าก็ยังมีประโยชน์เหมือนมาติชเช่นกัน
เมื่อสรุปรวมทุกๆปัญหาที่กล่าวมาแล้วนั้น ก็จะเห็นว่ามีทั้งการที่ตัวรุกแดนหน้าหลักๆของทีม ต่างพาเหรดกันฟอร์มตกกราวรูดกันอย่างพร้อมหน้า และการที่ขาดนักเตะตัวรุกที่ดีพอจะทำเกมบุกให้เกิดผลลัพธ์ได้ จากฟอร์มที่ดรอปลงของCR7 และ Rashford ที่เหมือนมี Striker ปล่อยเบลอสองคนอยู่ในสนาม
มีการใช้งานนักเตะบางคนที่ทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพกับจุดเด่นของเขา ในเคส Bruno Fernandes ที่ไม่ว่าจะให้เล่นเบอร์ 8 หรือ เบอร์ 10 ดูเหมือนว่าแทคติกปัจจุบันของผู้จัดการทีมจะไม่ได้ซัพพอร์ตการเล่นของเขาสักเท่าไหร่
บวกกับการขาดผู้เล่นที่มีมิติการบุกหลากหลาย ซึ่งตัวเหล่านั้นถูกปล่อยยืม และไม่ได้ใช้งานทั้งสิ้น
นั่นแหละคือปัญหาเกมรุกของยูไนเต็ดที่รวมๆกันแล้ว ส่งผลให้ "เกมรุก" ของเรามันไม่ดุดัน ไม่มีประสิทธิภาพจริงๆอย่างที่ราล์ฟ รังนิคบอกในการให้สัมภาษณ์แบบชัดๆว่า ปัญหาอยู่ตรงนั้น(ซึ่งจริงๆมันก็เริ่มเกิดขึ้นมาในยุคของเขาเองซะด้วยซ้ำ)
เกมต่อๆไป รังนิคอาจจะต้องลอง "เปลี่ยนแปลง" อะไรบางอย่างบ้าง เพราะเขาใช้ทีมเดิมๆติดกันมาหลายเกมแลล้ว และควรต้องจูนให้เร็วที่สุดด้วยเรื่องง่ายๆ โดยเริ่มต้นจากการถอดแมกไกวร์ออกทันทีที่ลินเดอเลิฟฟิต (เหมือนจะเอาฮา แต่พูดจริง)
การส่งอาวุธลับอีกตัวหนึ่งอย่าง "แอนโธนี เอแลงก้า" ลงมาเล่นในสนามแทนแรชฟอร์ดที่ฟอร์มยังไม่กระเตื้อง ก็น่าจะเพิ่มความสดและลื่นไหลให้กับทีมได้
ส่งน้องไปยืนซ้าย แล้วสลับซานโช่มาขวา จะได้มีตัวทำเกมเพิ่มขึ้น และจะส่งผลดีต่อการปั้นเกมให้กองหน้าตัวจบสกอร์อย่าง Ronaldo กับ Cavani ด้วยอีกต่อ ที่ทุกวันนี้บอลไปไม่ค่อยจะถึงเลย
ลองกล้าๆใช้คาวานี่ในยามที่ฟิต ลงเป็นตัวจริงในลีกให้เยอะกว่านี้ แล้วดรอปโด้บ่อยกว่าเดิม / ลองปรับการยืนให้เจดอน ซานโช่ ไปปั้นเกมทางขวา เพื่อให้ขวามีมิติบุกบ้าง ส่วนทางซ้าย เราใช้ แรชฟอร์ด และ เอแลงก้า จะดีกว่า เพราะสองคนนี้ถนัดเล่นฝั่งนี้และจะช่วยทำเกมให้ทีมได้
การมายืนซ้ายของแรชฟอร์ด อาจจะช่วยคอมโบให้ "ลุค ชอว์" เรียกฟอร์มกลับมาได้บ้าง เพราะสองคนนี้เล่นเข้าขากันดีในจังหวะเติมเกมรุกจากแบ็ค ซึ่งหากว่าราล์ฟ จะยืนยันใช้ ซานโช่ ทางซ้าย ก็ต้องรีบส่ง อเล็กซ์ เตลีส ลงสนามได้แล้ว เพราะจะได้มีลูกครอสจากวงนอกบ้าง
อเล็กซ์เป็นนักเตะคนเดียวในทีมที่ครอสจากริมเส้นได้ดีที่สุดจากตำแหน่งแบ็ค ส่วนชอว์กับดาโลต์ก็ยังทำได้ไม่ดี โดยเฉพาะ "ลุค ชอว์" ที่มีปัญหากับการยืนตำแหน่งมากๆ รวมถึงการเช็คคู่แข่งที่เติมมาโล่งๆทางวงนอกอันเกิดจากการหุบเข้าในมากเกินกว่าเหตุในหลายๆครั้งที่โย้ไปตามแมกไกวร์
ส่วนดาโลต์ ที่การเล่นโดยรวมดีมากๆ มีเซนสและความคล่องแคล่ว ความเนียนในการต่อบอล ทำเกมร่วมกับทีม เกมรับที่พัฒนาขึ้นเยอะมากๆ และคู่ควรกับตัวจริงแล้ว(AWBนั่งไปยาวๆ) แต่ดาโลต์ก็ยังขาด "ลูกครอส" ที่ทำยังไงก็ครอสไม่เคยเข้าเป้าเลยสักที
บ้านผมอยู่หนองจอกครับพี่ เลยครอสไปไกลหน่อย แหะๆ
ถ้ารังนิคยังหาจุดเปลี่ยนให้ทีมไม่ได้ และยังคงปล่อยให้ทีมอยู่ในสภาพ Slump Continue (ฟอร์มตกอย่างต่อเนื่อง) แบบนี้ไปเรื่อยๆ เตรียมตัวลงไปเล่นถ้วยที่จะบั่นทอนความรู้สึกของแฟนผีอย่าง ยูโรปาลีก ในฤดูกาลหน้าได้เลย
ราล์ฟจะเอาชื่อมาทิ้งไว้ที่นี่หรือไม่ และจะสามารถเปลี่ยนโมเมนตัมของทีมได้รึเปล่า เวลาในฤดูกาลนี้ยังเหลืออยู่ แต่ถ้าให้พูดตรงๆ ในฟอร์มปัจจุบันถือว่า ถ้าจะได้อันดับ4คือต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นแล้ว ให้อยู่ดีๆทีมกลับมาชนะได้ และคู่แข่งอย่าง เวสต์แฮม อาร์เซนอล สเปอร์ส ทีมเหล่านี้จะต้องสะดุดเท่านั้น ซึ่งจริงๆไม่ควรเป็นสิ่งที่แมนยูเอามาพูดเลย เราไม่ควรยืมจมูกคนอื่นหายใจ และมานั่งลุ้นให้คู่แข่งสะดุด
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ผีก็ควรพึ่งพาตัวเองให้ได้มากกว่า
"ลูปลุงรัง" ที่เริ่มจะเดาทางได้เช่นนี้ อารมณ์มันเหมือนกับว่า เราดูหนังผีตุ้งแช่บ่อยจัดจนเริ่มดักทางได้แล้วว่าผู้กำกับจะใส่ซีน Jump Scare เหล่านี้มาตอนไหน
ซึ่งแมนยูเป็น Jump Scare ที่ไม่ค่อย Scared ซักเท่าไหร่
การเล่นของเราในเกมรุก เหมือนกับ "ผีตุ้งแช่" ที่พยายามจะโผล่มาหลอกแฮ่ให้ดูหวือหวาน่าตกใจเล่นๆ แต่มันเป็นการหลอกผีที่ไม่มีความดุดัน ไม่หลอน ไม่น่ากลัวอะไรเลย กลับเป็นหนังผีที่ดูแล้วเซ็ง จนจะเป็นซึมเศร้ากันทั้งหมู่คณะอยู่แล้ว
ทุกเพจของแฟนแมนยูบรรยากาศมันอึมครึม ตึงเครียด มาคุ และหม่นๆไปด้วยแสงสลัวๆที่เต็มไปด้วยความเหงาและความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง ไม่ต่างอะไรกับผีตุ้งแช่ในรูปแบบของหนังสไตล์ "หว่องกาไว" ที่นำแสดงโดยเหลียงเฉาเหว่ย
และหว่องกาไว ก็ไม่ใช่หว่องกาโว หรือหว่องโกโกวา แต่อย่างใด!!
มาแล้วลูกจ๋า ชุดโกโกวาที่หนูอยากได้..
พูดแล้วกลิ่นบุหรี่กับฉากหลังฮ่องกงลอยมาจากที่ไหนสักแห่ง.. เพราะงั้นเราก็ปิดบทความที่อ่านกันด้วยความรู้สึกหม่นๆทึมๆไม่ต่างกับคนเขียน ร่ำลากันด้วยวลียอดฮิตของหนังหว่องกาไว ที่เข้ากับความรู้สึกของแฟนผีตอนนี้เป็นอย่างดี ที่กล่าวไว้ว่า..
"แม้เวลาจะเยียวยาหลายสิ่งหลายอย่างได้ แต่หัวใจที่แตกสลายก็เป็นข้อยกเว้น"
และต้องแตกสลายแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน.. จบเมื่อไหร่.. ก็ไม่รู้
เออ มันหว่องกาไวจริงๆว่ะ
-ศาลาผี-