เก้าอี้ดนตรีที่คลองเตย
เอาเข้าจริงมันก็แจ่มแจ้งอยู่แล้ว ในแง่ของสถานะที่คุยกันไว้แต่แรกว่า บทบาทของผู้ช่วยผู้ฝึกสอนชาวเวลส์ เป็นเพียงการ “ขัดตาทัพ” รอวันเปิดทางให้กุนซือคนใหม่
แต่คงเป็นเพราะ การท่าเรือ เอฟซี อาจหาเฮดโค้ชหน้าใหม่ที่ถูกใจไม่ได้ จึงทำให้ ฮอลแลนด์ อยู่รากยาวมันยันครึ่งฤดูกาลหลัง
สุดท้ายเมื่อ “ฝืน” แล้วไม่มีวี่แววจะพาสิงห์เจ้าท่าถีบขึ้นหัวตารางไหว คงต้องให้คนใหม่มาทำแทน ตามวิถีฟุตบอลอาชีพ (รวมถึงตามใจคนจ่ายเงิน)
ซึ่งเมื่อมองไปที่สถิติของ ฮอลแลนด์ แล้วก็ “สมควร” ที่จะแยกทางนั่นแหละ
7 นัด ชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 3 แถมพาทีมตกรอบฟุตบอลลีก คัพ อีก
แม้จะพาทีมโชว์ฟอร์มสวยเอาชนะขาใหญ่อย่าง บีจี ปทุมฯ มาได้ 2-1 ทว่าอีก 2 เกมให้หลัง กลับทำได้เพียงเสมอ พีที ประจวบ กับ โปลิศ เทโร
จากวันที่แยกทางกับ สก็อตต์ คูเปอร์ การท่าเรือ มีแต้มตามหลังจ่าฝูง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 11 คะแนน แต่ปัจจุบันขณะช่องว่างถูกทิ้งห่างไปเป็น 21 คะแนน
จากห่างท็อป 3 แค่ 4 แต้ม ระยะห่างปัจจุบันขณะถูกหนีไปเป็น 9 คะแนน
ยังดีที่เหลือฟุตบอลถ้วย เอฟเอ คัพ ให้หวังเล็ก ๆ
สุดท้ายเป็น “หนังสือเล่มเก่า” อย่าง โชคทวี พรหมรัตน์ เข้ามาแก้วิกฤตทีม
แต่หนนี้อาจเป็นหนังสือเล่มเก่า “ฉบับปรับปรุง” เพราะอดีตกุนซือ ชุดคว้าแชมป์ช้าง เอฟเอ คัพ ปี 2019 รับงานคู่กับ สุรพงษ์ คงเทพ
น่าสนใจอย่างยิ่งว่าทั้ง 2 จะเคลื่อนทีมไปในทิศทางไหน กับทรัพยากรลูกหนังที่มีให้อย่างเหลือเฟือ แต่ที่ค่อนข้างยากคือจะจูนทีมให้ตรงตามสไตล์โค้ชทั้งคู่ต้องการได้อย่างไร ในระยะเวลาอันสั้น
อย่าลืมว่าทั้งคู่ ไม่ได้เข้ามาในช่วงพักครึ่งฤดูกาล หากแต่เป็นช่วงที่เลก 2 แข่งขันมาได้ 3 เกมแล้ว ดังนั้นพวกเขาไม่มีเวลา “ทดลอง” อะไรมาก ทุกอย่างต้องคลิกลงตัวให้ไวที่สุด
แม้ในรายของ โชคทวี จะเคยนั่งเก้าอี้กุนซือที่นี่มาก่อน และมีผลงานที่น่าประทับใจ (ชนะ 10 เสมอ 3 แพ้ 3) แต่ผู้เล่นชุดที่เขาเคยทำงาน ปัจจุบันถูกเปลี่ยนผ่านไปพอควร
เหลืออีก 12 นัดในลีก น่าสนใจว่า 2 โค้ชใหม่ จะเปลี่ยนผ่าน ยกระดับทีมขึ้นมาได้มากน้อยแค่ไหน
การทิ้งไพ่ของบอร์ดบริหารหนนี้ ถือว่า “เดิมพัน” พอควร เพราะหากไม่เวิร์กจนต้องเปลี่ยนอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครกล้ามารับเผือกร้อนชิ้นนี้ ถ้าไม่ใช่ “คนในครอบครัว”
ก็ได้แต่หวังว่า “เก้าอี้ดนตรี” หนนี้ จะทำให้ทีมมีผลงานไปในทิศทางที่ดีมากขึ้น
ส่วนฝ่ายบริหารเองคงต้องทำงานเร่งเปิดโต๊ะเจรจา มองหา “กุนซือใหม่” ที่ไม่ใช่แค่ขัดตาทัพมาคุมทีมในฤดูกาลหน้าไปด้วยได้แล้ว
มันค่อนข้างน่าแปลกใจ ที่ผ่านมา การท่าเรือ ทุ่มเงินหลายร้อยล้านในการจ่ายตลาดนักเตะ แต่กับตำแหน่งกุนซือ กลับไม่มีการ “ลงทุน” หาโค้ชต่างชาติดี ๆ มาคุมทีม
ไม่ใช่ว่า โค้ชโชค และ โค้ชอั๋น ไม่ดี แต่ในเมื่อทีมมีทรัพยากรนักเตะฝีตีนดีเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ ก็ลองหาโค้ชเกรดเอมาลองคุมทัพสักตั้ง คงไม่เสียหาย
หากอยากคว้าแชมป์ ต้องกล้าคิดการใหญ่ออกจากกรอบแนวคิดเดิม ๆ
วันนี้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เล่นเพื่อประคองแชมป์ และวางแผนฤดูกาลหน้าเตรียมสู้ศึก เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก แล้ว
ส่วน การท่าเรือ ยังสาละวันกับการแต่งตั้งกุนซือใหม่มาคุมทัพ
โลกฟุตบอลปัจจุบันขณะ ไม่ได้หยุดหมุนเพื่อรอเรา มีแต่เราต้องก้าวตามมันให้ทัน สิ่งสำคัญสุดบนสมรภูมิหญ้าสีเขียว คือความแข็งแกร่ง ปราดเปรียว การปรับตัวกับยุคสมัยได้ รวมถึงการมีดีเอ็นเอผู้ชนะ
ไม่ใช่แค่ระบบครอบครัว