:::     :::

'ปาฏิหาริย์'แมตช์ชิงฯปี2005เหนือกว่า1999

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 คอลัมน์ เล่าเก่าก้าวใหม่ โดย Latino
643
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ฌิบริล ซิสเซ่ อดีตกองหน้า ลิเวอร์พูล ยกให้เกมชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกปี 2005 เป็นการคัมแบ็กที่ยิ่งใหญ่กว่าแมตช์ชิงดำเมื่อปี 1999

ฌิบริล ซิสเซ่ มีบทบาทสำคัญในการคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกของ ลิเวอร์พูล ในปี 2005 ที่อิสตันบูล ประเทศตุรกี หลังการดวลเป้าชนะ เอซี มิลาน ของ อิตาลี 3-0 ซึ่งอดีตกองหน้าชาวฝรั่งเศสยก 'ปรากฎการณ์' ที่นครอิสตันบูลเหนือกว่า 'ปาฏิหาริย์' ในนัดชิงชนะเลิศเมื่อปี 1999 ที่ แมนฯยูไนเต็ด พลิกชนะ บาเยิร์น มิวนิค 2-1 ที่นครบาร์เซโลน่า

แมนฯยูไนเต็ด ยุค เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สร้างปรากฎการณ์ระหว่างเกมชิงชนะเลิศรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซีซั่น 1998-1999 บนสังเวียน 'คัมป์ นู' ของนครบาร์เซโลน่า หลังการทำสองประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บก่อนแซงชนะ บาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์ด้วยสกอร์ 2-1

มาริโอ บาสเลอร์ ทำประตูให้ทีมดังแคว้นบาวาเรียขึ้นนำ 1-0 ตั้งแต่นาทีที่ 6 และทีมเสือใต้ยังมีโอกาสทำประตูเพิ่มอีกหลายครั้งหลายหน ก่อน เท็ดดี้ เชอริงแฮม และ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา สองสำรองของทีมปีศาจแดงแห่งเกาะอังกฤษจะทำประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาที 90+1 และ 90+3 แซงคว้าชัยด้วยสกอร์ 2-1 


จาก 'ปรากฎการณ์' ดังกล่าวทำให้ฝ่ายทีมเสือใต้ทั้งที่สนามและหน้าจอทีวีช็อคตาตั้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ทั้งที่หลายคนเตรียมฉลองความสำเร็จกับทีมยักษ์ใหญ่เมืองเบียร์แล้ว

ขณะที่ ลิเวอร์พูล สร้าง 'ปรากฎการณ์' ในนัดชิงชนะเลิศที่นครอิสตันบูลในปี 2005 แม้หลายคนมองว่าเกมดังกล่าวปิดฉากตั้งแต่จบครึ่งแรก หลัง เอซี มิลาน เป็นฝ่ายนำห่าง 3-0 จากการทำประตูของ เปาโล มัลดินี่ บวกอีกสองประตูของ เอร์นาน เกรสโป

แต่ทัพหงส์แดงของ ราฟาเอล เบนีเตซ พลิกสถานการณ์กลับมาอย่างน่าเหลือเชื่อในช่วงครึ่งหลังจนตามตีเสมอสำเร็จจากการทำประตูของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด (นาที 54), วลาดิเมียร์ ชมิเซอร์ (นาที 56) และ ชาเบียร์ อลอนโซ่ (นาที 60) ก่อนจะเป็นฝ่ายดวลเป้าชนะทีมปีศาจแดง-ดำ 3-2 คว้าแชมป์ไปอย่างน่าเหลือเชื่อ 


เกมชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกเมื่อปี 2005 เป็นหนึ่งในการคัมแบ็กที่ยิ่งใหญ่สุดของวงการลูกหนังอย่างไม่มีข้อสงสัย เช่นเดียวกับการคัมแบ็กของทีมปีศาจแดงในนัดชิงชนะเลิศรายการเดียวกันเมื่อปี 1999 

แต่สำหรับ ฌิบริล ซิสเซ่ อดีตกองหน้าชาวฝรั่งเศสที่เคยค้าแข้งกับ ลิเวอร์พูล ในช่วงปี 2004-2007 ยกให้ 'ปรากฎการณ์' ที่นครอิสตันบูลเหนือกว่า 'ปาฏิหาริย์' ที่สนาม 'คัมป์ นู' ตามมุมมองของเขา

'เกมระหว่าง แมนฯยูไนเต็ด กับ บาเยิร์น มิวนิค ในปี 1999 เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อแน่นอน แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากในช่วงท้ายเกม ขณะที่เราเป็นฝ่ายตามหลัง เอซี มิลาน 3 ประตูในช่วง 45 นาทีแรก' ซิสเซ่ กล่าว


'เราเข้าไปในเกมด้วยความรู้สึกนี้ว่าเราอยู่ในเกมจริงๆในช่วงครึ่งหลัง และทันใดนั้น คุณก็คิดว่าเกิดอะไรขึ้นถ้าหากพวกเขายิงประตูต่อไป จากนั้นมันจะเป็น 4 แล้วเป็น 5 จากนั้นคุณอาจตามหลังถึง 6 ประตูในนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีก'

'ผมคิดว่าเป็นเพราะวิธีการที่เราออกมาตอบโต้ เผชิญหน้ากับทีมนั้น และแนวทางที่เราเดินหน้าต่อไปและชนะเกมนี้ ผมคิดว่าการกลับมาของเราดีกว่า'

สำหรับ ซิสเซ่, รอบชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกปี 2005 นั้นเป็นเรื่องสะเทือนอารมณ์ของเขาอย่างยิ่ง หลังอดีตกองหน้าชาวฝรั่งเศสต้องพักไปนานจากการบาดเจ็บ เขาขาหักสองท่อนในเกมกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ช่วงต้นฤดูกาลเดียวกัน 

การบาดเจ็บสาหัสดังกล่าวอาจทำให้นักเตะต้องพักระหว่าง 9-18 เดือน มันน่าทึ่งที่เขาฟิตกลับมาทันลงเล่นรอบน็อกเอาท์ของแชมเปี้ยนส์ลีก เขาลงเล่นทั้งสองเกมในรอบรองชนะเลิศกับ เชลซี รวมถึงเกมชิงชนะเลิศกับ เอซี มิลาน 

ซิสเซ่ ยังทำสองประตูบนเวทีพรีเมียร์ลีกหลังการกลับมาอย่างรวดเร็วแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่น่าทึ่ง ซึ่งช่วยเสริมสร้างความมั่นใจก่อนการลงสู่เกมสำคัญแห่งฤดูกาลที่นครอิสตันบูล


'ช่วง 5 เดือนครึ่งต่อมา ผมกลับมาในเกมกับ ยูเวนตุส ผมได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดครั้งหนึ่งในอาชีพของเขา บอกตามตรง ตอนนี้ผมยังมีช่วงเวลาที่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมในช่วงฤดูกาลนั้น'

'มันยากสำหรับผมที่จะเข้าใจ มันเป็นสิ่งที่คุณเห็นในภาพยนตร์ เมื่อใดก็ตามที่แฟนบอลพบผม พวกเขาต้องการพูดคุยเกี่ยวกับคืนนั้นในอิสตันบูล'

'ผู้คนจดจำการออกสตาร์ทที่ย่ำแย่ การคัมแบ็กในครึ่งหลัง และวีรกรรมของ เจอร์ซี่ ดูเด็ค ระหว่างการดวลจุดโทษ'

'แต่เรื่องราวของผมในคืนนั้นค่อนข้างแตกต่างออกไป ผมพลาดการลงเล่นเกือบทั้งฤดูกาลเนื่องจากการบาดเจ็บ ผมขาหัก เมื่อ 6 เดือนก่อนคืนนั้น ผมใช้ไม้ค้ำยัน และสงสัยว่าผมจะได้เล่นฟุตบอลระดับสูงอีกหรือไม่ สำหรับผมที่จะก้าวไปข้างหน้าในคืนนั้นและยิงจุดโทษ มันเป็นศูนย์ ความกดดันเป็นศูนย์'


'ผมรู้สึกเหมือนกำลังเล่นกับเพื่อนของผม มันสนุกดี เพราะผมพูดแบบนั้นกับเพื่อนๆผม ทั้งหมดบอกผมว่าผมพูดแต่เรื่องราวในอดีต'

'แต่มันคือเรื่องจริง ผมไม่รู้สึกกดดัน ผมไม่รู้สึกประหม่า มันคือปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล นั่นคือสิ่งที่ผู้คนเรียกมัน'

'แต่ปาฏิหาริย์ของผมอยู่ที่นั่น ไม่มีใครยอมทุ่มเงินให้ผมแม้แต่ปอนด์เดียวในการสร้างทีมชุดนั้น ตอนที่ผมนอนเหยียดขาหักในเกมกับ แบล็คเบิร์น เมื่อ 6 เดือนก่อน' อดีตกองหน้าวัย 41 ปีกล่าว

ซิสเซ่ อำลาถิ่นแอนฟิลด์ในปี 2007 และกลายเป็นแข้งพเนจรหลังจากนั้น เขาย้ายไปเล่นกับ มาร์กเซย, ซันเดอร์แลนด์, พานาธิไนกอส, ลาซิโอ, ควีนส์ปาร์ค, อัล-การาฟา, คูบาน คราสโนดาร์, บาสเตีย, แซงต์ ปิแอร์รัวส์, เยอร์ดอน, วิเชนซ่า และ พานาธิไนกอส ชิคาโก้ 


อดีตกองหน้าวัย 41 ปี เคยทำ 70 ประตูจากการลงเล่น ลีก เอิง กับ โอแซร์ ในช่วงปี 1998-2004 ก่อนกระทุ้งเพิ่มอีก 24 ประตูกับ มาร์กเซย ในช่วงปี 2006-2009 และทำอีก 2 ประตูกับ บาสเตีย ในช่วงปี 2013-2015 

ก่อนมีรายงานระบุว่า ซิสเซ่ อาจหวนคืนวงการลูกหนังอีกครั้งในวัย 41 ปี เขามีแนวคิดที่จะเซ็นสัญญาแบบไม่รับค่าจ้างโดยมีเป้าหมายทำให้ครบ 100 ประตูบนเวที ลีก เอิง หลังต้องการอีกเพียง 4 ประตูเท่านั้น

'ผมไม่ชอบการขาดเพียง 4 ประตูเพื่อยิงให้ครบ 100 ใน ลีก เอิง หากมีทีมไหนเข้ามาเสนอโอกาสให้ผมได้ลงเล่น ผมจะจัดให้ฟรีๆ' กองหน้าวัย 41 ปีกล่าวกับ กานาล ปลุส


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด