:::     :::

โลส บลังโกส ร่ายมนต์อัด เชลซี

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
จะบอกว่าเวทมนต์ใน แชมเปี้ยนส์ลีก ของ เรอัล มาดริด ยังคงไม่เสื่อมคลายก็คงได้นะครับ จากความพ่ายแพ้คา เบร์นาเบว ต่อ บียาร์เรอัล 2-3 ขุนพล ‘โลส บลังโกส’ กลับมาเล่นอย่างท็อปฟอร์มและทุบชนะ เชลซี อย่างไม่ยากเย็น 2-0 โอกาสลอยลำสู่รอบรอชนะเลิศถือว่าค่อนข้างสูงเลยทีเดียว

ก่อนเกม สื่อพยายามคาดเดาว่า อันเชล็อตติ จะจัดผู้เล่นออกมาแบบไหน แบ็กซ้ายจะเป็น กามาวินก้า หรือ อลาบา , เซนเตอร์จะเป็น รือดิเกอร์ หรือ อลาบา ที่ยืนคู่กับ มิลิเตา , แดนกลางจะเป็น กามาวินก้า หรือ เฟเด บัลเบร์เด้ ที่ลงมาเล่นกับ โมดริช และโทนี่ โครส และ แดนหน้า จะเป็น โรดรีโก้ หรือ บัลเบร์เด้ ที่ยึกตัวจริงทางฝั่งขวา 


สุดท้าย อันเชล็อตติ เลือก กามาวินก้า เล่นแบ็กซ้าย ใช้ อลาบา ยืนเซนเตอร์กับ มิลิเตา, ให้ บัลเบร์เด้ เล่นกลาง และส่ง โรดรีโก้ ลงตัวจริงร่วมกับ เบนเซม่า และ วินิซิอุส จูเนียร์ ซึ่งเป็นลไน์อัพชุดบุกชนะ บาร์เซโลน่า 4-0 ในโกปา เดล เรย์ รอบรองฯ เลกสอง จนผ่านเข้าชิงกับ โอซาซูน่า


ในการเผชิญหน้ากับ เชลซี ปีที่แล้ว เล่นเอามาดริดิสต้าเกือบหัวใจวาย มาปีนี้ สิงโตน้ำเงินคราม ไม่ดีเหมือนเดิม สโมสรอยู่ในข่วงเปลี่ยนถ่าย ทั้งโครงสร้างบริหาร เทรนเนอร์ รวมถึงนักเตะ ผลงานจึงขึ้นๆลงๆ หาความแน่นอนไม่ได้ 


นั่นเองทำให้ มาดริดิสต้า มองว่านี่คือโอกาสทอง เมื่อ เชลซี กำลังอ่อนแอจึงควรจะจัดชุดผู้เล่นที่เน้นเกมรุกเป็นพิเศษลงไปลุย เพื่อกุมความได้เปรียบให้ได้มากที่สุดในฐานะทีมเหย้า 


และ อันเชล็อตติ ก็ไม่ทำให้ผิดหวังนะครับ จัดออกมาได้ถูกใจแฟนๆทุกตำแหน่งเลย 

แดนหน้า นาทีนี้ โรดรีโก้ ดีพอสำหรับตัวจริง การเล่นของเขานอกจากจังหวะจบสกอร์ ความเร็วแล้ว ยังประสานงานกับ เบนเซม่า ได้ดีเยี่ยม พยายามอ่านความเคลื่อนไหวของดาวยิงฝรั่งเศสอยู่ตลอด 


ส่วนแดนกลาง ไม่มีใครสงสัยว่า บัลเบร์เด้ เมื่อต้องถอยกลับมาเป็นมิดฟิลด์จะทำได้ดีหรือไม่ ? ด้วยศักยภาพของเขาแล้ว จะพูดว่าเล่นตรงไหนก็ได้ก็ไม่น่าจะผิด 

มุมมองส่วนตัวเห็นว่าพละกำลังของมิดฟิลด์อุรุกวัยเป็นส่วนเกื้อหนุนให้ โมดริช กับ โครส สองจอมเก๋าทำหน้าที่ของตัวเองได้ง่ายขึ้น พะวงเกมรับน้อยลง ถือเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมาก 

ส่วนแผงหลัง ถึงแม้ กามาวินก้า จะไม่ใช่แบ็กอาชีพ แต่เวลานี้แฟนๆยกให้ว่าเขาดีกว่า แฟร์กล็องด์ เมนดี้ เสียด้วยซ้ำไป แข็งแกร่ง ดุดัน และไว้ใจได้ในเกมรับ การออกบอลก็ดูเนียนว่า เมนดี้ 


มาดริด มีขุมกำลังที่สมบูรณ์ จัดผู้เล่นลงมาได้สมดุล อีกทั้งแต่ละคนยังอยู่ในฟอร์มการเล่นที่ดี เหตุนี้จึงไม่แปลกเลยที่ตั้งแต่เสียงนกหวีดแรกดังขึ้น จะเป็นพวกเขาที่เปิดฉากไล่บด เชลซี ได้มากกว่า 

ทีมของ แลมพาร์ด เล่นแบบรู้สภาพ ปรับจากแบ็กโฟร์ในเกมแพ้ วูล์ฟ กลับมาเล่นหลัง 3 ใช้ โฟฟาน่า ,ตีอาโก้ ซิลวา และ คูลิบาลี่ ยืนเซนเตอร์ร่วมกัน ตั้งบล็อคเกมรับค่อนข้างต่ำ กลางยืนไม่ห่างจากแผงหลังมากนักเพื่อลดพื้นที่ ให้เกมคอมแพ็ค  ป้องกันไม่ให้ มาดริด เจอเข้าไปง่ายๆ ส่วนเกมรุกอาศัยจังหวะฉาบฉวย ทักษะและความเร็วของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง กับ ชูเอา เฟลิกซ์

โอกาสทองของ เชลซี เกิดขึ้นก่อนเมื่อเกมเดินไปได้ยังไม่ถึง 2 นาทีดี เอ็นโกโล่ ก็องเต้ จ่ายทะลุจากแดนตัวเองให้ เฟลิกซ์ หลุดเดี่ยว แต่ยิงไม่ผ่าน กูร์กตัวส์

นี่คือปัญหาของ เชลซี และมองว่าเป็นปัญหาใหญ่มาก เกมรุกไม่ใช่สร้างโอกาสไม่ได้ แต่พวกเขาไม่มีกองหน้าแบบโป้งปิดบัญชี 


เฟลิกซ์ คล่องแคล่ว เทคนิคดี เล่นสวย แต่ไม่คม  ซึ่งเป็นภาพที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ กระนั้นก็ต้องชม มิลิเตา ที่สปีดความเร็วสุดยอด วิ่งเข้ามากดดันได้เยี่ยม แถมยังนิ่ง ขนาดโดนขยับหลอกยังไม่หลง เวลานี้เขาถือเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟระดับท็อปของยุโรปไปเรียบร้อยแล้ว 

มาดริด พลาดหนนี้ เล่นเอา อันเชล็อตติ หัวเสียเพราะมันเป็นความเลินเล่อที่เกือบทำทีมพัง กุนซือิตาเลี่ยนรู้ดีว่า เชลซี ต้องการเล่นแบบนี้ และหากปล่อยให้พวกเขาขึ้นนำไปก่อน งานยากจะตามมาทันที


เชลซี หันไปตั้งรับและทำให้ มาดริด อึดอัดได้ร่วม 15 นาที แต่สุดท้ายทำนบก็พังจนได้ 

ประตู 1-0 ต้องยกเครดิตให้ ดาเนี่ยล การ์บาฆาล ที่หยอดบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษได้น้ำหนักเหมาะเจาะให้ วินิซิอุส แหย่เปลี่ยนทางบอล จน เกป้า ปัดไม่เต็มมือ ก่อนมาเข้าทาง เบนเซม่า ชาร์จระยะเผาขนเข้าไป


ชอตนี้ถือเป็นการกู้เครดิตของ การ์บาฆาล กลับคืนมาหลังจากซีซั่นนี้ถูกวิจารณ์ฟอร์มการเล่นว่าตกต่ำลงไปอย่างมาก แต่สำหรับเกมนี้นอกเหนือจากการหยอดบอลจนนำไปสู่ประตูปลดล้อคแล้วที่เหลือเขากำลังทำได้ยอดเยี่ยม

ประตูแรกได้มาแล้ว แต่ มาดริด ยังคงต้องพยายามกันต่อไป เพราะ เชลซี ไม่ได้เปลี่ยนวิธีการเล่น พวกเขาไม่ได้ขยับขึ้นสูง การแพ้แค่ประตูเดียวใน เบร์นาเบว ไม่ได้เสียหายจนเกินไปนัก 

มาดริด เดินหน้าสร้างโอกาสได้มากมาย แต่ติดตรงที่ยังจบไม่คม กระทั่ง เชลซี มาเสีย คูลิบาลี่ ที่เจ็บกล้ามเนื้อจากจังหวะสปีดแข่งกับ โรดรีโก้ และถัดมาอีก 3 นาที เบน ชิลด์เวลล์ ถูกใบแดงไล่ออกจากสนามหลังดึง โรดรีโก้ ล้มลงก่อนจะทะลุเข้าไปยิงประตู

2 จังหวะนี้จะมองว่า เชลซี โชคร้ายก็ได้ แต่เหตุที่นำมาสู่ก็ต้องมองไปที่การเล่นของ เรอัล มาดริด ด้วยเช่นกัน 


เกมนี้ มาดริด เล่นในเทมโป้ที่สูงมาก การเคลื่อนที่ การวิ่งสอดรับ ที่รวดเร็วและทำได้อย่างต่อเนื่องทำให้แนวรับ เชลซี ต้องออกแรงหนักจนปั่นป่วน 

มีคนถามว่าทำไม มาดริด ถึงไม่เล่นแบบนี้ใน ลา ลีกา ก็ต้องบอกว่าการเล่นด้วยเทมโป้ที่สูงระดับนี้ใช้พลังงานเยอะมาก นักเตะต้องทำงานหนัก ด้วยสภาพร่างกายจึงไม่สามารถที่จะเล่นแบบเดียวกันได้ในทุกเกม จำต้องเลือกเกมที่จะเล่นซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักเป็นเกมสำคัญ เกมใหญ่เช่น แชมเปี้ยนส์ลีก นั่นเองจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไม มาดริด ถึงดูเหมือนคนละทีมเวลาลงเล่นเกมยุโรป เพราะนอกจากแพสชั่นแล้วก็คือวิธีการเล่นนั่นเอง


ขณะที่สกอร์ตามหลัง 0-1 สิ่งที่ผู้เล่น เชลซี พยายามทำคือป้องกันไม่ให้เสียประตูเพิ่ม 

ด้วยจำนวนผู้เล่นที่น้อยกว่า ยอดทีมจากลอนดอนไม่มีทางเลือก ถึงแม้เกมจะดูไม่ดี และกำลังจะแพ้กลับออกไป แต่พวกเขายังมีอีก 90 นาทีที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ และมันสามารถคาดหวังได้เต็มที่หากผลต่างประตูในเกมที่ เบร์นาเบว เกิดขึ้นแค่ลูกเดียว 


แต่ความหวังก็พังทลาย ลูกยิงหน้ากรอบเขตโทษของ มาร์โก อาเซนซิโอ จากจังหวะฉวยโอกาสเล่นเตะมุมสั้นนาทีที่ 74 พุ่งวาบด้วยความแรง ลอดขา เวสลีย์ โฟฟาน่า ผ่านมือ เกป้า ก่อนเบียดเสาเข้าประตูไปอย่างสวยงาม 

ประตูนี้ถือเป็นเครื่องหมายการค้าของ อาเซนซิโอ ก็ว่าได้ และมันเป็นลูกสำคัญที่ทำให้ เรอัล มาดริด ยิ่งเพิ่มความมั่นใจในการไปเยือนที่ ลอนดอนใน เลก 2 ในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า  

นอกจาก อาเซนซิโอ แล้ว คนที่ต้องยกเครดิตให้ก็คือ อันเชล็อตติ กุนซืออิตาเลี่ยนที่อ่านเกมขาด ไทม์มิ่งในการเปลี่ยนตัวดีเยี่ยม 

คาร์เล็ตโต้ เห็นว่า เชลซี ของ แลมพาร์ด กำลังจะแพคเกมรับแน่น เอาแพ้แค่ 0-1 หลัง ชิลด์เวลล์ โดนไล่ออกจากสนาม 


เช่นนี้จึงต้องเพิ่มพลังเกมรุก ขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มความหลากหลายในการเข้าทำลงไปด้วย นั่นจึงเป็นที่มาของการเปลี่ยน รือดิเกอร์ กับ อาเซนซิโอ ลงมาในนาทีที่ 71 

รือดิเกอร์ ลงมายืนเซนเตอร์กับ มิลิเตา ขยับ อลาบา ออกไปเล่นแบ็กซ้ายเพิ่มพลังเกมรุกทางด้านกราบ ช่วยซัพพอร์ต วินิซิอุส ส่วน อาเซนซิโอ ลงมาแทน โรดรีโก้ เพราะ เชลซี ถอยรับต่ำ การเลี้ยงตะลุยหรือการเจาะตามช่องอาจไม่ได้ผล แต่การยิงไกลสามารถทำได้ง่ายกว่า เพราะมีพื้นที่มากขึ้น และนั่นเป็นคุณสมบัติอันโดดเด่นของ อาเซนซิโอ 

ประตูนี้จุดเริ่มต้นมาจากการฉวยโอกาสเล่นเตะมุมเร็ว ขณะที่นักเตะเชลซียังไม่ทันได้ยืนตำแหน่งกันดีนัก ถือว่า มาดริด ทำได้ดีในทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่เทรนเนอร์อย่าง อันเชล็อตติ , ไหลพริบของ โมดริช และ โครส การจ่ายของ วินิซิอุส จนมาจบที่ อาเซนซิโอ


ส่วนตัวมองว่านี่คือเกมที่ มาดริด เล่นได้สมบูรณ์แบบ ฟอร์มส่วนตัวของแข้งแต่ละคนยอดเยี่ยม ที่ไม่ได้เอ่ยถึงตั้งแต่ต้นก็มี กูร์กตัวส์ ที่เซฟลูกยิงของ สเตอร์ลิ่ง, วินิซิอุส จูเนียร์ ที่มีส่วนร่วมทั้ง 2 ประตู และปั่นป่วนเกมรับ เชลซี ได้ตลอด , ความเฉียบคมของ เบนเซม่า ที่มักมาเสมอในเกมใหญ่ ลูกยิงขึ้นนำ 1-0 คือการยิงในรอบน็อคเอาาท์ แชมเปี้ยนส์ลีก 8 ติดต่อกันแล้ว 

ชนะ 2-0 ด้วยฟอร์มแบบนี้ แฟนมาดริดเห็นแล้วก็คงชื่นใจล่ะครับ แต่ก็อย่าประมาทเป็นอันขาด เพราะยังมีอีก 90 นาทีที่ สแตมฟอรืดบริดจ์ ให้ เชลซี ได้แก้ตัว 

ว่ากันว่า เวลาสิงห์เจ็บมักดุร้ายอันตราย ข้อนี้อย่าได้ลืมเชียว !


เจมส์ ลา ลีกา 

………………………

มาร์โก อาเซนซิโอ สำรองเกรดพรีเมี่ยม 

ประตู 2-0 จาก มาร์โก อาเซนซิโอ ในเกมนี้ทำให้เขากลายเป็นสุดยอดซูเปอร์ซับในรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไปแล้ว เพราะมันคือการลุกจากม้านั่งสำรองลงมายิงประตูเป็นลูกที่ 9 ทำลายสถิติสูงสุดเดิมที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เคยทำไว้ 8 ประตูสมัยค้าแข้งกับ แมนฯยูไนเต็ด 

นอกจากในแชมเปี้ยนส์ลีกที่กลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดในฐานะตัวสำรองแล้ว กับ ลา ลีกา ฤดูกาลปัจจุบัน อาเซนซิโอ ก็ยังยิงประตูในฐานะตัวสำรองไปถึง 3 ประตู โดยทำได้ในเกมกับ เอลเช่,โอซาซูน่า และ เอสปันญ่อล 



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด