:::     :::

"โดมิโน่ 5 ชิ้น" ที่ทำให้แมนยูได้แค่เสมอเซบีญ่า

วันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2566 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
14,579
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ย้อนความให้เห็นภาพกันชัดๆว่า ปัจจัยในเกมที่แมนยูทำได้แค่เสมอเซบีญ่า 2-2 ทั้งที่น่าจะชนะได้ด้วยผลลัพธ์ที่ดีกว่านี้ มันเกิดขึ้นจากหลายเรื่องจริงๆที่เกิดขึ้น และเป็นสิ่งที่ทีมต้องรับผิดชอบร่วมกัน รวมถึงแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เพื่อจะเดินหน้าต่อไปให้ได้ มีเรื่องอะไรบ้างไปดูกัน

จากเกมล่าสุดที่แมนยูไนเต็ดเปิดบ้านทำได้แค่เสมอกับเซบีญ่าไป 2-2 เป็นเรื่องที่น่าเสียดายว่า ฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมของแมนยูไนเต็ด ควรจะได้ "ผลลัพธ์" ที่ดีกว่านี้มาก

ทั้งเรื่องเกมรุกที่เฉียบคมและน่าตื่นตาตื่นใจ จากการนำของอ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ที่ได้สตาร์ทลงเล่นเป็นตัวจริง

ทั้งเกมกลางสนามที่ลื่นไหลและมั่นคง จากการได้คาเซมิโร่กลับมา และอิสระของบรูโน่ แฟร์นันด์ส ในฐานะมิดฟิลด์เพลย์เมคเกอร์ที่สามารถโรมมิ่งทำเกมได้ทั่วสนาม ทำเกมจากแดนต่ำ เติมเกมรุกในแดนบน ประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมได้อย่างยอดเยี่ยม

เกมหลังบ้านที่มีความแน่นอนในภาคเกมรับ จากวาราน มาร์ติเนซ และการเซ็ตเกมขึ้นหน้าที่ใช้งานแบ็คอย่างอารอน วานบิสซาก้าได้เต็มประสิทธิภาพที่เขามี เล่นร่วมกับอันโทนี่ที่เป็นตัวสร้าง ball progression ให้กับทีม

แมนยูเล่นดีในทุกมิติ สกอร์ 2 ลูกยังน้อยไปกับฟอร์มแบบนี้ด้วยซ้ำ จากทรงแล้วควรจะทำประตูปิดเกมได้ตั้งแต่เลกแรกด้วยสกอร์ 3 หรือ 4 เม็ด ในถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ดเมื่อวาน

แต่ในช่วงครึ่งหลังเกมค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย ด้วยความจำเป็นในเหตุผลของการเปลี่ยนตัวเพื่อ rotation และรักษาความปลอดภัยจากการที่ทีมเสี่ยงจะเหลือสิบตัวจากการโดนใบเหลืองใบที่สอง ซึ่งกรรมการส่งสัญญาณเตือนมาแล้ว ทุกอย่างเกิดจากความจำเป็นและเหตุผลจริง (มากน้อยแล้วแต่ในแต่ละเหตุผล)

ความได้เปรียบจากเกมที่แมนยูเหนือกว่า ก็ค่อยๆลดประสิทธิภาพลง

คุณภาพของนักเตะตัวสำรองที่ลงสนามไปและยังไม่สามารถคัฟเวอร์การเล่นของตัวหลักบางคนที่เปลี่ยนออกไปได้ ทุกอย่างจึงค่อยๆเข้าสู่เกมของเซบีญ่ามากขึ้นทีละนิดในครึ่งหลัง กุนซือเมนดิลิบาร์เองก็ปรับแทคติกลงมาได้ดี จนเกมที่เป็นรอง เริ่มที่จะมีปากมีเสียง "ตอบโต้" แมนยูได้มากขึ้นเรื่อยๆ

จนกระทั่งช่วงท้าย จากเกมที่น่าจะจบได้แค่ 2-0 ซึ่งยังปลอดภัยอยู่พอสมควรในเลกสอง กลายเป็นการโดนไล่ตีตื้นขึ้นมาเป็น 2-1 จากประตู Own Goal ของ "ไทเรลล์ มาลาเซีย" และหลังจากนั้นทุกอย่างค่อยๆแย่ลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องดวงแตกที่นักเตะอย่างมาร์ติเนซได้รับบาดเจ็บรุนแรงจากการลงเท้าในตำแหน่งที่ไม่ดี ทีมต้องเหลือสิบคน

และประตู 2-2 ที่กองหลังซึ่งฟอร์มดีมาตลอดเกมอย่าง แฮรี่ แมกไกวร์ ก็ดันดวงซวยเต็มๆ ถึงจะหลีกเลี่ยงแล้วแต่คอนเทนต์ก็ยังตามหากัปตันแมกสำเร็จ บอลโดนหัวเขาเปลี่ยนทางเข้าไปอย่างสุดช็อคในก่อนช่วงทดเจ็บนาทีที่สาม

จบเลกแรกด้วยสกอร์เสมอกับเซบีญ่า พร้อมทั้งต้องไปเล่นเลกสองบ้านเซบีญ่า ด้วยทีมที่ไม่สมประกอบแบบสุดๆ 

ประเด็นเดือดที่เกิดขึ้นเมื่อวาน มีเรื่องราวที่น่าสนใจจากฟอร์มการเล่นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักมากๆของ "ไทเรลล์ มาลาเซีย" จากการที่เขาทำพลาดจนเป็นต้นเหตุของการเสียประตูตีตื้น 2-1 จากนั้นทุกอย่างก็ล้มลงเหมือนเป็น "โดมิโน่" หลังจากนั้นแบบรัวๆ

แต่จริงๆแล้วโดมิโน่ตัวแรก "ไม่ใช่ความผิดพลาดของมาลาเซีย" อย่างที่หลายๆคนเข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุนั้น

เพราะถ้าจะว่ากันจริงๆ รูปเกมของยูไนเต็ดเริ่มแย่ลงตั้งแต่ครึ่งหลังแล้ว ด้วยฟอร์มของทีมที่ผ่อนเกมลงไป, การขาดหายของนักเตะตัวหลักที่จำเป็นต้องถอดไปพัก อย่างมาร์กซิยาล ตามสภาพความฟิตและ บรูโน่ที่ติดใบเหลืองและต้องถนอมร่างกายไว้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกวันอาทิตย์นี้อีก

1. "ความจำเป็นในการเปลี่ยนตัว" คือปัจจัยสำคัญอย่างแรกที่เริ่มเป็นโดมิโน่แห่งความลำบากในเกมนี้ เนื่องจากต้องถอดนักเตะคนสำคัญออกจริงๆ

2. "คุณภาพ Squad Depth ของทีม" ที่นักเตะตัวสำรองที่เป็นคุณภาพในเชิงลึกของทีม ยังไม่ดีพอที่จะลงสนามมาแล้วสามารถทำให้เกมดีขึ้น หรือเล่นทดแทนตัวหลักได้ 

3. "Game plan" ที่ไม่เฉียบคมพอที่จะรีบเร่งเกมบุกยิงประตูเพิ่มเพื่อตุนเอาไว้ เกมผ่อนลงตอนที่นำแค่ 2 ลูก สุดท้ายไม่ห่างพอจะป้องกันความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้

4. "ฟอร์มการเล่น" ของนักเตะบางคน ก็ยังฟอร์มไม่ดีพอในระดับที่น่าพอใจ 

5. "ดวง" ข้อนี้อาจจะดูเป็นการโทษในสิ่งที่ไม่มีเหตุผล ก็เพราะมันไม่มีเหตุผลไง มันถึงเป็นเรื่องของ "ดวง" จริงๆที่เกี่ยวข้องด้วยกับการที่แมนยูดวงแตกในหลายๆเรื่อง ทั้งการตัดสินที่ไม่เป็นธรรม ก็ดวง, Own Goal ที่พุ่งเข้าโกลแบบที่เดเคอาก็หมดปัญญาเซฟก็ดวง และนักเตะที่เล่นอยู่ดีๆก็บาดเจ็บหนักเองอย่างลิซานโดร มาร์ติเนซ นี่ก็ดวงแตกจัดๆ ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก

ประเด็นในข้อที่ 4 เรื่องฟอร์มการเล่นของนักเตะรายตัว มีรายละเอียดบางส่วนที่เราอยากนำเสนอจุดบกพร่องว่า มันมีเกิดขึ้นในสนามจริงๆ เป็นจุดไม่ดีที่อยากแก้ไขปรับปรุง และพูดกันด้วยเหตุผล ไม่ใช่ตำหนิเพราะโกรธหรือเกลียด

ส่วนตัวผู้เขียนมองเห็นสามคนที่อยากพูดถึงฟอร์มการเล่นในสนาม ไม่ได้แปลว่าเราเสียผลการแข่งขันดีๆไปเพราะสามคนนี้นะครับ แต่พูดกันเรื่อง ฟอร์มที่อยากให้น้องๆปรับปรุงการเล่น เพียงเท่านั้น

คนแรก เจดอน ซานโช่ เมื่อวานฟอร์มของเขาเงียบไปนิดนึง ไม่สามารถสร้างimpactให้กับเกมรุกได้ เหมือนที่อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ยามที่ฟิตสมบูรณ์ลงสนาม มันเห็นชัดเจนว่า คลาสบอลของมาร์กซิยาล สามารถสร้างเกมรุกที่เข้มข้น และมีประสิทธิภาพกับทีมจริงๆ ส่วนเจดอน ซานโช่ ยังรักษามาตรฐานการเล่นให้นิ่งไม่ได้ บางเกมอย่างนัดที่แล้วเขาก็ทำได้ บางเกมเขาก็หายไปจริงๆ นัดนี้ไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไหร่

เอาใจช่วยเจดอนเสมอ และอยากให้เรียกฟอร์มให้โดดเด่นมากกว่านี้ ผู้เขียนมองว่าความดุดัน ความเข้มข้นในการเล่น (Aggression & Intensity) เจดอนมีน้อยมาก อยากให้ดุดันมากกว่านี้

การเข้าดวลกับคู่แข่ง บางจังหวะยังเข้าบอลไม่สุดตัว การทำเกมบางครั้งก็ไม่กล้าที่จะเล่นด้วยตัวเอง (ตรงข้ามกับอันโทนี่เลย) ถ้าซานโช่มั่นใจและดุดันแบบที่แรชฟอร์ดเล่นอย่างนั้น อาจจะทำเกมรุกได้อันตรายและเข้าน้ำเข้าเนื้อมากกว่านี้ก็ได้ 

คือเมื่อวานก็ไม่ได้ถึงกับพลาด แต่เรา "อยากได้มากกว่านี้อีก" (demand more) จากการเล่นของซานโช่

ถ้าน้องยกระดับตัวเองได้จะดีมากๆ

คนที่สอง อันโทนี่ ปีกฝั่งตรงกันข้าม สิ่งที่อันโทนี่มี เป็นสิ่งที่ซานโช่ไม่มี แต่กลับกัน บางอย่างซานโช่มี แต่อันโทนี่ก็ดันไม่มี

อันโตมีอะไรบ้าง?

ความดุดัน ความเข้มข้น ที่มาพร้อมความมุ่งมั่นตั้งใจ ถือว่าเต็มเปี่ยม และเป็นจุดแข็งของเขาที่ทำให้การดวลกับคู่แข่งในสนาม โดยเฉพาะ Ground Duels อันโทนี่ไม่ค่อยแพ้คู่แข่งง่ายๆในการแย่งบอล เข้าปะทะ แถมด้วยความขยันในการถอยต่ำลงมาไล่บอล เล่นเกมรับ ข้อนี้สังเกตเห็น positioning ของอันโทนี่ในเกมรับอยู่ตลอด ชัดเจน

แต่อันโทนี่ ไม่สามารถสร้างเกมรุกได้หลากหลายเท่าซานโช่ ที่สกิลทักษะสูงกว่า การปั้นเกมในฐานะเพลย์เมคเกอร์ริมเส้นทำได้ดีกว่า อันโทนี่ปั้นเกมได้ไม่หลากหลายเท่าซานโช่จริงๆ

ที่สำคัญคือ ด้วยความมุ่งมั่นที่มากเกินไป มันกลายเป็นผลเสียอะไรบางอย่าง

เรื่องของ Mentality ที่เข้มข้นมากเกินไป จากความพยายาม ความทุ่มเท บางครั้งมันเป็นการกดดันตัวเองแบบเห็นได้ชัดที่เขาอยากจะพิสูจน์ตัวเองให้แฟนบอลเห็น และพยายามที่จะเล่นเกมรุกด้วยตัวเองมาก จนบางครั้ง บางจังหวะที่เขาควรจะทำได้ดีกว่านี้ในการสร้างสรรค์โอกาสให้กับทีม กลับกลายเป็นการลากเลื้อยไปด้วยตัวเอง และฝืนยิงเอง แทนที่จะจ่ายในหลายๆจังหวะที่เพื่อนอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า

มันเป็นเพราะความพยายามที่อยากจะพิสูจน์ตัวเอง และวิสัยทัศน์ในการเล่นก็มีส่วนตรงนี้

และอีกเรื่องหนึ่งที่อยากให้ปรับปรุงตัวเองมากกว่านี้ คือเรื่องการใช้อารมณ์ที่มากเกินไป บางทีเล่นด้วยความดุดันไม่กลัวใคร มันก็ดีอยู่แล้วในด้านตัวตนและคาแรคเตอร์ ผู้เขียนเองก็ชอบเขามากในเรื่องนี้

แต่ถ้ามัน "มากเกินควร" อันนี้ก็ไม่เห็นด้วย อย่างเช่นเรื่องที่ชอบออกลูกเก๋า และไปเล่นนอกเกมแถมใส่คู่แข่ง เพื่อแสดงความเก๋า และความ "ไม่กลัวใคร" ของเขา

การมีใจสู้อันแรงกล้า ถือเป็น mentality ที่ดี แต่ไม่ได้แปลว่าคุณจะต้องไปออกลูกเก๋าด้วยการ "แถม" ใส่คู่แข่ง ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีเลย อาจจะโชคร้ายโดนใบเหลืองใบแดงด้วยซ้ำถ้ากล้องจับภาพได้ หรือ VAR เรียกผู้ตัดสินไปรีวิวพฤติกรรม แล้วโดนใบแดง

แบบนี้ไม่ใช่ความเป็นนักสู้ที่ถูกต้อง ถ้าใช้มันในเกม เอาพลังใจมาสู้กับคู่แข่งด้วยพลังงานที่เล่นกันในสนาม แบบนั้นดีกว่า

เพราะรัก ถึงตำหนิ ตำหนิก็เพื่ออยากให้ปรับตัวและดีขึ้น ทั้งเรื่องอารมณ์ส่วนเกิน ทั้งเรื่องการเล่นที่อยากให้เล่นด้วยทัศนคติที่มองทีมส่วนรวมมากขึ้นกว่านี้อีกนิด อันโทนี่ไม่ใช่ว่ามันไม่ส่งเพื่อนเลยขนาดนั้นหรอก สองนัดล่าสุดก็เห็นพยายามออกบอลปั้นเพื่อนอยู่หลายจังหวะ (ถ้าไม่อคติจนเกินไป และสังเกตการเล่นของนักเตะอย่างละเอียด)

แต่แค่บางจังหวะ พอโอกาสยิงมันเปิด เขาก็พยายามมากเกินไปที่จะพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง มันเลยเป็นความพยายามที่ดูเหมือนจะกลายเป็นความ "หวงบอล" มากเกินไปนั่นเอง

คนที่สาม ไทเรลล์ มาลาเซีย รายนี้หนักหน่อย เพราะไม่ได้มีปัญหาแค่จังหวะที่เขาปล่อยบอลพลาด จนทำให้ เฆซุส นาบาส ได้เปิดบอลยัดจนกลายเป็นบอลเข้าประตูตัวเองจนทำให้ทีมเสียเปรียบเพราะโดนตีตื้น ไม่ใช่แค่ความผิดพลาดจุดนี้เท่านั้น

 แต่ยังเป็นด้าน "ประสิทธิภาพการเล่น" ของมาลาเซียด้วยที่ดูจะเป็นปัญหามาก่อนแล้ว

การเล่นของเขาหลายๆครั้งดูเหมือนว่า ประสบการณ์ และความเข้าใจเกม จะยังไม่เพียงพอที่ทำให้เขาเล่นแล้วสร้างประโยชน์ หรือสร้างความเหนือกว่าคู่แข่งได้ จากลูกจ่ายของเขา จากการเติมเกม การให้บอล

เกมรุกของมาลาเซียไม่โดดเด่นเหมือนตอนที่ลุค ชอว์ อยู่ในสนาม ซึ่งชอว์รู้ดีว่าจังหวะไหนควรเปิดบอล จังหวะไหนควรไปด้วยตัวเอง จ่ายบอลทำลายแนวรับของคู่แข่ง ชอว์ทำได้หมด

เมื่อเทียบกับมาลาเซีย การจ่ายบอลของเขาแทบไม่ทำให้ทีมได้เปรียบเลย สิ่งที่ไทเรลล์ทำได้อยู่ในเลเวลปัจจุบันนี้คือการเป็นแบ็คที่เติมขึ้นมาแค่ "เชื่อมเกม" ให้กับทีมได้เท่านั้น

แต่ไม่สามารถสร้าง "impact" จากการเล่นได้

คำว่า impact ในการเล่น เราไม่ได้จะบอกว่า ไทเรลล์จะต้องแอสซิสต์ได้แบบชอว์ จะต้องเติมขึ้นมายิงประตูได้ ไม่ใช่แบบนั้น อิมแพ็คที่ว่าคือ การเล่นมันจะต้องสร้างอะไรๆให้ทีมได้บ้าง แต่ทุกวันนี้มาลาเซียออกบอลที่สร้างสรรค์เกมรุกไม่ได้สักเท่าไหร่เวลาที่เติมสูงขึ้นไป ไม่ค่อยมีส่วนสำคัญในเกมรุกพูดง่ายๆ

ส่วนเรื่องของการ build-up ตั้งเกมขึ้นหน้า การแก้เพรส มาลาเซียก็ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เซนส์เรื่องการยืนตำแหน่ง การออกบอลก็ไม่เด่นในเรื่องนี้ ไปๆมาๆกลายเป็นว่า นักเตะในตำแหน่งแบ็คเหมือนกันอย่าง "อารอน วานบิสซาก้า" ที่ทุกคนเคยกังวลว่า เล่นเป็นอย่างเดียวคือเกมรับไล่สไลด์ป้องกันปีกคู่แข่งได้เท่านั้น

ทุกวันนี้วานบิสซาก้าแทบไม่เคยทำบอลเสียในพื้นที่กลางสนาม จังหวะที่ทีมโดนเพรสซิ่งบีบติดตัว หรือตั้งเกมจากแนวหลัง วานบิสซาก้าสร้างไดนามิคการเล่นให้ทีมได้ดีมาก ด้วยพลังงาน ความฟิตของเขา บวกกับความคล่องตัว ที่พอเขากล้าเล่น กล้าเลี้ยงมากขึ้น วานบิสซาก้าแสดงให้เห็นเลยว่า สกิลทักษะเขาดีพอจะเอาตัวรอดได้ตัวเอง

คู่แข่งมาเพรสติดตัวเหรอ กระชากหนีโชว์ให้ดูซะเลย! 

อารอนสามารถ carry บอลขึ้นหน้าได้ หนีเพรสได้ และออกบอลให้เพื่อนด้วย simple passes ที่ง่ายๆ แต่ได้ประสิทธิภาพ AWB พัฒนาตัวเองขึ้นเยอะมาก จนกลายเป็นแบ็คที่ฟอร์มดีที่สุดสองคนแรกของทีม รองจากลุค ชอว์แค่คนเดียว (แฟนบอลหลายๆคนก็ไว้ใจอารอนมากกว่าดาโลต์แล้วซะด้วยซ้ำตอนนี้)

ตัวเปรียบเทียบกับมาลาเซีย มันมีให้เห็นชัดว่า การเล่นแบ็คที่สร้างประโยชน์ให้ทีมได้ มันต้องเล่นยังไงบ้าง AWB ดูดีและมั่นใจกว่าไทเรลล์พอสมควร

สุดท้ายเรื่องเกมรับ ดูเหมือนจะเป็นจุดแข็งที่สุดในตอนนี้เท่าที่ไทเรลล์มีในตัว จากความฟิตที่สามารถวิ่งไล่ปิดตัวรุกของคู่แข่งได้ด้วยสปีดฝีเท้า และความแข็งแกร่งที่พอจะงัดกับคู่แข่งได้ แต่บางจุดในรายละเอียดก็อยากให้แก้ไข เช่น การยืนตำแหน่ง (positioning) ยังไม่ดีพอที่จะยืนในตำแหน่งที่ทีมได้เปรียบได้ มันต่างกับตอนชอว์อยู่ในสนามชัดเจน 

และความดุดันที่ไม่จำเป็น (คล้ายๆเคสอันโทนี่) บางครั้งมาลาเซียไปฮึดฮัดใส่คู่แข่งแบบที่ไม่จำเป็นเหมือนกัน อยากให้โฟกัสและมีสมาธิกับเกมมากกว่าที่จะหลุดโฟกัสไปสนใจเรื่องพวกนี้

นอกนั้นก็คือเรื่องของประสบการณ์ในระดับสูง ซึ่งระยะหลังส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า การร้างสนามจากฐานะตัวจริง ก็ส่งผลไปบ้างพอสมควร ความมั่นใจอะไรบางอย่างก็หดหายไปถ้าเทียบกับต้นฤดูกาล ส่วนจังหวะที่พลาดลูก 2-1 อันนั้นคือเรื่องของการตัดสินใจ และความอ่อนประสบการณ์ล้วนๆที่เขาพลาดคนเดียวแบบเน้นๆ (ถ้าเป็นชอว์ ลูกแบบนี้ชอว์เก็บหมด เคลียร์ออกเตะมุมไปเลยไม่มีมาประมาทปล่อยบอลแบบนี้)

นี่คือจุดด้อยทั้งหมดที่ไทเรลล์ มาลาเซีย ยังต้องพัฒนาตัวเอง

สรุปทั้งหมดทั้งมวลแล้ว จะเห็นได้เลยว่า สาเหตุของความผันผวนรูปเกมเมื่อวาน ที่แมนยูไนเต็ดทำได้แค่เปิดโอลด์แทรฟฟอร์ดเสมอกับราชาแห่งถ้วยยูโรปาอย่าง เซบีญ่า ได้แค่ 2-2 มันมีสาเหตุหลายอย่างมากๆ จากที่ทีมเราเปิดเกมได้ดี และน่าจะชนะได้ไม่ยากด้วยฟอร์มสุดยอดของพวกตัวเด่นๆอย่างบรูโน่ มาร์กซิยาล และซาบิทเซอร์ ผู้เบิ้ลสองประตูใส่โคตรโกลแบบโบโน่ได้อย่างเฉียบคม

มันควรจะเป็นชัยชนะของแมนยูอีกครั้งต่อทีมจากสเปน เพราะถ้าว่ากันตรงๆ นักเตะแมนยูตัวจริงอยู่ในสนามครบๆ เซบีญ่าไม่มีอะไรน่ากลัวเลย

แต่เกมฟุตบอลหนึ่งเกม ปัจจัยเกี่ยวข้องมันมีเยอะมาก และมันไม่ใช่แค่ว่าทุกอย่างมาพังเพราะความผิดพลาดของมาลาเซียเป็นต้นเหตุเรื่องเดียว มันมีหลายประเด็นมากๆอย่างที่เรานำเสนอไปว่า โดมิโน่ทั้งห้าตัว ประกอบด้วยหลายๆอย่าง ที่โดมิโน่แต่ละชิ้นมันค่อยๆล้มลง 

ล้มทับกันต่อเนื่อง ทีละชิ้น ทีละชิ้น จนมันค่อยๆพังครืนลงมาในเรื่องรูปเกม และสกอร์การแข่งขัน

เรื่องของการตัดสินและกรรมการ ก็มีส่วนกับเกมนี้ค่อนข้างเยอะ นักเตะเซบีญ่าที่เปิดปุ่มเหยียบใส่คาเซมิโร่ ได้เพียงใบเหลือง ทั้งที่ควรเป็นใบแดง ขณะที่ลูกแฮนด์บอลของบรูโน่ที่โดนเหลืองจนถูกแบนเลกสอง ก็ไม่ควรโดนเช่นกัน นี่คือประเด็นที่แมนยู "ดวงซวย" เจอการตัดสินแย่ๆเหมือนจะรับงานมาแบบนี้ และเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เล่นงานให้ทีมลำบากด้วย

เห็นไหมครับว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้เป็นเพราะแมนยูเองอย่างเดียว ปัจจัยเกี่ยวข้องที่ส่งผลกระทบกับเกมในสนามมันเยอะมาก

ด้วยหลายๆเหตุผล มันคงไม่ใช่เรื่องที่ถูกนักถ้าจะชี้นิ้วไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น ตำหนิการเปลี่ยนตัวของเทนฮากแค่อย่างเดียวว่าทำให้เกมเป็นแบบนี้ มันก็ไม่ใช่

เอริคทำดีที่สุดเท่าที่เขาทำได้แล้ว บางประเด็นผู้เขียนก็เข้าใจเหตุผล แต่ก็ไม่ได้เห็นด้วย เช่นเรื่องที่รีบถอดนักเตะที่ยังสามารถคุมเกมอยู่ต่อในสนามได้อย่างบรูโน่เป็นต้น ขณะที่สำรองที่เทนฮากมีในมือ คุณภาพก็ไม่เพียงพอจริงๆ

แฟนผีก็คงเห็นอยู่แล้วว่า เจ้าหนูแอนโธนี เอแลงก้า น้องยังไม่มีความสามารถจะรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้ ถ้าเทียบกับดาวรุ่งเหมือนกันอย่างการ์นาโช่ เอแลงก้าเป็นนักเตะดาวรุ่งในแนวรุกคนเดียวที่ยังไม่เคยได้รับโอกาสในการปล่อยยืมตัวออกไปเก็บประสบการณ์ เก็บกระดูกให้แข็งแกร่งขึ้นจากการลงเล่นจริงๆจังๆต่อเนื่องสักฤดูกาล

ปีหน้าต้องปล่อยยืม เอแลงก้าตอนนี้ไม่อยู่ในสภาพที่จะเป็นตัวสำรองให้ทีมได้ เทียบกันแล้วฟาคุนโด้ยังดูเก่งกว่า และลงมาสร้างสรรค์โอกาสสวยๆจนทีมเกือบยิงเพิ่มเป็น 3-0 ได้ด้วยซ้ำที่จ่ายให้ซาบิทเซอร์ดีดกลับหลังต่อให้เว็กฮอร์สต์ได้บอลช่วงครึ่งหลังในภาพข้างล่างนี้ (จังหวะนี้ดูจากภาพ เอแลงก้าเองก็โคตรซวย อุตส่าห์เติมมายืนโล่งอยู่ทางซ้าย เว็กฮอร์สต์ดันไม่เห็นซะยังงั้น)

ตัวสำรองที่ทำได้แค่นี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความผิดของ เอริค เทน ฮาก ลองคิดง่ายๆว่าสำรองมันแทบจะไม่เหลือใครที่ดีกว่านี้แล้วจริงๆ แฟนบอลเองก็ควรจะเห็นใจ และเข้าใจเอริค เทน ฮาก ให้มากๆด้วย

เรื่องไหนที่เป็นข้อผิดพลาด แฟนบอลที่ดีควรจะวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ต้องตั้งอยู่บนเหตุผล และความเข้าใจมิติเชิงฟุตบอลครบถ้วนทุกด้านจริงๆ

ไม่ใช่พูดอย่างเดียวแค่ว่า เขาเปลี่ยนตัวพลาด เขาเปลี่ยนตัวพลาด อยู่แค่นี้ แบบนี้ก็ไม่เอา

ต้องดูด้วยว่าการเปลี่ยนตัวของเขามีเหตุผลอะไรที่สำคัญและจำเป็นบ้าง เข้าใจแค่นั้นก็พอ แล้วแฟนบอลจะรู้เลยว่า เอริค เทน ฮาก คืออีกหนึ่งคนที่เราคงจะblameเขาอยู่คนเดียวไม่ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ "ทีม" ของเรา ณ ตอนนี้ จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน

และความรับผิดชอบที่เราทำได้ คือการเล่นให้ดียิ่งขึ้น และเอาตัวรอดให้ได้ในเลกที่สองซึ่งจะไปเยือนบ้านเซบีญ่าในคืนวันพฤหัสฯหน้า ก่อนเกมรอบรองเอฟเอคัพที่จะเจอไบรท์ตัน

ด้วยตัวเลือกลงสนามที่นักเตะคนสำคัญๆหายไปเยอะมาก มันยากลำบากอยู่แล้ว โดยเฉพาะวีคหน้า เกมบอลถ้วยนัดสำคัญสองนัดติดกัน ที่จะไม่มีมาร์ติเนซแน่ๆจากกระดูกฝ่าเท้าแตก, วารานที่ยังไม่ชัวร์ว่าลงไหวหรือไม่ และแมกไกวร์ ที่โดนแบนเกมบอลถ้วยนัดเจอไบรท์ตัน

ความสำคัญของตัวสำรอง และ Squad Player จะมาในเวลาแบบนี้แหละครับ

สุดท้ายแล้ว เรื่องข้อบกพร่อง และสิ่งต่างๆในบทความนี้ เราชี้ให้เห็นจุดบกพร่อง ที่อยากให้ปรับปรุงแก้ไขเท่านั้นเอง ไม่ได้จะโจมตีซ้ำเติมแต่อย่างใด เพราะแม้กระทั่งสามนักเตะที่ถูกจี้จุดในบทความนี้อย่างซานโช่ อันโทนี่ และ มาลาเซีย นักเตะพวกนี้ยังอายุน้อยอยู่มากๆ และผมไม่เชื่อว่าพวกเขาจะหมดอนาคต เหมือนที่ความเห็น toxic ในเว็บบอร์ดต่างๆพากันด่ามาลาเซียไปว่า ไม่น่ารอดแล้ว ทั้งที่มันก็พลาดกันได้ 

ไม่ใช่ว่าพลาดจังหวะนี้แล้วจะต้องขับไล่กันออกจากสโมสรขนาดนั้นเลยหรือ? ก็ไม่

เพราะถ้าคิดด้วยlogicที่ว่า พลาด=ไม่ดีพอสำหรับสโมสร ป่านนี้แมนยูไนเต็ดไม่เหลือนักเตะในทีมแล้วครับ เพราะทุกคนก็พลาดกันมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะเก่งมาจากสวรรค์ชั้นไหน เกิดมาก็ต้องเคยทำผิดพลาดเหมือนกันทั้งนั้น อย่ามองเพื่อนมนุษย์ด้วยกันบนมุมมองในแง่ร้ายจนเกินไป

ให้โอกาสพวกเขาปรับปรุง แก้ไขจุดอ่อนเหล่านี้กันไป ได้แค่ไหนแค่นั้น สุดท้ายแฟนบอลอย่างเราก็ต้องส่งกำลังใจเชียร์เหมือนเดิม เพราะนี่คือ Manchester United ที่เรารัก ไม่ว่าจะดีหรือจะร้าย จะเล่นเก่ง เล่นแย่ สุดท้ายคุณก็ต้องเชียร์และส่งพลังใจไปช่วยพวกเขาอยู่ดี เพราะทีมต้องการกำลังใจจากพวกเรานี่แหละ แฟนบอลถึงได้ชื่อว่า Supporters ไงครับ การสนับสนุนทีมคือหน้าที่ของพวกเรานี่เอง

ลุ้นทีมกันในเกมต่อๆไปครับ ผมไม่เชื่อหรอกว่าแมนยูจะล้มเหลวไปหมดในฤดูกาลนี้ ท็อปโฟร์เราก็อยู่ในตำแหน่งที่ดี บอลถ้วยอาจจะลำบากหน่อยแต่เกมเลกสองยังมี และอนาคตเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น

เราอาจจะรอดทั้งสองถ้วยก็ได้ใครจะรู้

เชียร์กันต่อไปครับ ยิ่งเข้าตาจนแบบนี้แหละยิ่งต้องเชียร์ 

#BELIEVE

-ศาลาผี-


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด