:::     :::

โรบิน โกเซ่นส์ กับการพิสูจน์ตัวเอง

วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน 2566 คอลัมน์ Zero to Hero โดย บังคุง
1,252
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
กลายมาเป็นหนึ่งในขุนพลของอินเตอร์ มิลาน

สำหรับ โรบิน โกเซ่นส์ ชุดกำลังเก็บเกี่ยวความสำเร็จ ด้วยการเข้าไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ แน่นอนว่า เขาได้รับโอกาสลงเล่นอย่างต่อเนื่อง 


อย่างไรก็ตาม เส้นทางลูกหนังของ โกเซ่นส์ ถือว่าบากลำบาก ไม่แพ้นักเตะชื่อดังคนอื่นๆเลย เขาต้องผ่านแบบทดสอบมาอย่างมากมาย ที่คอยท้าทายการเป็นนักฟุตบอลของเขา 

“ชีวิตของคุณ ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ความสำเร็จ ถูกแลกมาด้วยการทำงานหนักเสมอ”


โรบิน โกเซ่นส์ ลืมตาดูโลกที่เยอรมัน มีความฝันวัยเด็กคือการเป็นตำรวจ อย่างไรก็ตาม เขาค้นพบตัวเองว่า ความสุขระยะยาวของชีวิต ไม่ใช่การไล่จับผู้ร้าย แต่เป็นความท้าทายในโลกฟุตบอล 


เส้นทางลูกหนังของเขาเริ่มต้น ด้วยการทดสอบฝีเท้ากับทีมเยาวชนของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ก่อนจะต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อทัพ “เสือเหลือง” แจ้งว่า ฝีเท้าของเขายังไม่เข้าเกณฑ์ 


“การทดสอบฝีเท้ากับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไม่ประสบความสำเร็จ แต่อย่างน้อย พวกเขาก็เปิดโอกาสให้ผมได้ทดลอง” โรบิน โกเซ่นส์ เริ่มกล่าว ถือเป็นประโยคที่ผสมไปด้วยการมองโลกในแง่ดี 


“ผมลงเล่นเกมฟุตบอลธรรมดาทั่วไป” เขากล่าวต่อถึงจุดเปลี่ยนในชีวิต “แต่วันนั้นมันไม่ปกติเหมือนครั้งก่อน ผมยิง 1, แอสซิสต์ 1 และซัดจุดโทษอีก 1 ภาพเหล่านั้นถูกจับจ้อง จากสายตาแมวมองของทีมวิเทสส์ อาร์เน่ม (ทีมในลีกเนเธอร์แลนด์ส) ที่นั่งอยู่ข้างสนาม”


“แมวมองถามผมว่า อยากทดสอบฝีเท้ากับพวกเขามั้ย ? นั่นเป็นวันที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผมอย่างสิ้นเชิง เพราะมันเป็นวันที่เด็กหนุ่มอายุแค่ 18 ปี ที่อยากเป็นนักฟุตบอลมาตลอด มีโอกาสทำความฝันให้กลายเป็นจริง”

อย่างไรก็ตาม การเป็นนักฟุตบอลอาชีพไม่ง่ายดายขนาดนั้น เขามีอุปสรรคให้ต้องฝ่าฟันระหว่างทาง โดยต้องพยายามหาสมดุลสู่ความสำเร็จให้กับตัวเอง 


โดยกล่าวว่า “ช่วงเวลานั้น ผมเรียนมัธยมปลายปีสุดท้าย หมายความว่า ผมต้องโดดเรียนบางวิชา เพื่อไปซ้อมฟุตบอลให้ตรงเวลา แต่ผมก็มีความมุ่งมั่น ไม่มีอะไรหยุดยั้งการไล่ตามหาความฝันของผมได้”


“ดังนั้น ผมจึงตกลงกับแม่ว่า หากการเรียนของผมแย่ลง ผมจะลดสมาธิจากการเล่นฟุตบอล และมาใส่ใจการเรียนแทน”


“ผมเป็นคนประเภทที่ผลักดันสิ่งต่างๆไปให้ถึงขีดจำกัด กระทั่งในปี 2014 ผมประสบความสำเร็จ 2 อย่างในชีวิต นั่นก็คือการคัดตัวผ่านกับ วิเทสส์ อาร์เน่ม รุ่นยู-23 และการเรียนจบ ผมรู้ดีว่าตัวเองยังไม่ถึงเส้นชัย ในทางตรงกันข้าม นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นบนเส้นทางที่ยากลำบากเท่านั้น”


“ผมมักคิดว่าตัวเองแย่กว่าคนอื่นเสมอ” เขาเผยมุมมอง “เพราะผมไม่เคยผ่านระบบอะคาเดมี่อย่างจริงจัง และขาดพื้นฐานการเล่นฟุตบอลที่เหมาะสม มันเป็นความจริง การจับบอลแต่ละครั้งของผม เคยกระเด็นกระดอนห่างไป 5 เมตร บางที ผมได้รับการเลือก อาจจะเป็นเรื่องของการวิ่งไม่หยุด และการซัพพอร์ทพื้นที่การเล่นของเพื่อนร่วมทีม” 


“ผมเป็นคนที่เต็มไปด้วยแรงจูงใจ เมื่อคุณไปถามเพื่อนร่วมทีม รวมถึงโค้ชในอดีต และปัจจุบันว่า ใครที่มาซ้อมคนแรก และกลับเป็นคนสุดท้าย ส่วนใหญ่จะตอบว่าเป็นผม ผมรู้ว่าการแก้ไขข้อบกพร่อง คือการต้องทำงานหนักขึ้น ทุกวันผมจะคอยถามโค้ชว่า ผมสามารถต่อยอดเทคนิค, ฟิตเนส หรืออะไรเพิ่มเติมได้บ้าง นั่นเป็นหนทางให้ผมพัฒนาต่อ และได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมทีม”


หลังจากนั้น เขาเริ่มต้นฟุตบอลอาชีพ ด้วยการถูกส่งไปให้ ดอร์เดรชท์ สโมสรในลีกรองของเนเธอร์แลนด์ส ทำการยืมตัว ตามด้วยการปล่อยขาดให้กับเฮราเคิ่ลส์ อัลเมโร่ จนมีโอกาสเล่นลีกสูงสุดของดินแดนกังหันลม 


“ผมมีทักษะพิเศษ นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าความคิด และวินัย ผมมาไกลถึงวันนี้ นั่นก็เพราะ 2 สิ่งนี้ มีการถกเถียงกันว่า อะไรที่สำคัญกว่า ระหว่างพรสวรรค์ หรือทัศนคติ คุณต้องการทั้งสองอย่าง ในการทำตามความฝัน แต่ผมมั่นใจว่า ทัศนคติจะสร้างความแตกต่างได้ในที่สุด” เขากล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้ถูกอตาลันต้า ทีมดังในศึกกัลโช่ เซเรีย อา คว้าตัวไปร่วมทีม 


“ขวบปีแรกของผมที่แบร์กาโม่ เต็มไปด้วยความผิดหวัง และความสงสัยในตัวเอง ผมย้ายมาประเทศใหม่ และพูดภาษาอิตาเลี่ยน ไม่ได้เลย ไม่มีใครคอยให้ความช่วยเหลือ ผมไม่ได้เป็นคนสำคัญของทีม โค้ชไม่มั่นใจในตัวผม บางครั้ง เขาบอกว่าทักษะของผมไม่คู่ควรกับการเล่นให้อตาลันต้า”


“ผมจำไม่ได้หรอกว่า ตัวเองนั่งอยู่ในห้องกลางดึกบ่อยแค่ไหน ผมเฝ้าถามตัวเองว่า ผมทำอาชีพนักฟุตบอลของตัวเองพังไปแล้วหรือเปล่า ผมไม่ได้ลงสนาม และกลายเป็นคนล่องหน การที่โค้ชพูดแบบนั้นกับผม ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้ว ผมรู้ตัวเองว่ามีคุณภาพพอที่จะเล่นในกัลโช่ เซเรีย อา”


“ผมพยายามทำในสิ่งที่โค้ชต้องการ ผมยังคงฝึกซ้อมเพิ่มเติม, เรียนรู้จากคู่แข่ง และปรับตัวให้เข้ากับระดับที่ต้องการ เพราะผมรู้ดีว่า วันหนึ่งการทำงานหนักจะผลิดอกออกผล ผมอยู่กับอตาลันต้า และผมได้เล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และกลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติเยอรมัน” 

โกเซ่นส์ ทิ้งท้ายถึงการก้าวมาถึงที่จุดสูงสุด กับการรับใช้ทีมชาติชุดใหญ่ ทั้งที่ตัวเองไม่เคยผ่านการเล่นในเวทีบุนเดสลีกา แม้แต่เกมเดียวว่า 


“ใครคงไม่เชื่อหรอกว่า ผมจะเดินทางมาถึงตรงนี้ คุณจำเป็นต้องมีโชคเหมือนกัน ด้วยการอยู่ในสถานที่ และเวลาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จก็ไม่ได้มาแบบอัตโนมัติ คุณต้องกำหนดชะตาของคุณเอง”


“ผมไม่ใช่นักฟุตบอลที่มีความสามารถมากที่สุด หรือเป็นคนที่ผู้อื่นชื่นชม แต่สิ่งที่ผมมั่นใจคือ การที่ผมประสบความสำเร็จในการเป็นนักฟุตบอลได้ เพราะผมต้องการพิสูจน์ตัวเองอยู่เสมอว่า คุณสามารถทำความฝันให้กลายเป็นความจริงได้”


“หากผมสามารถแบ่งปันคำแนะนำบางอย่าง ผมอยากบอกว่าอย่าสูญเสียความมุ่งมั่น ทำงานให้หนักเข้าไว้ คุณจะสามารถเอาชนะทุกอุปสรรคที่กำลังเผชิญได้ เชื่อผมเถอะ .... มันคุ้มค่าที่จะฝันแน่นอน”



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด