แม้แต่แฟน “เสือป่าราชา” ก็ยังไม่มีใครกล้าคิดเช่นนั้น
แต่ “โค้ชธง” ธงชัย สุขโกกี กลับเสกโทรฟี่ให้ทีมได้อย่างน่ามหัศจรรย์ พา นครปฐม คัมแบ็กสู่ไทยลีกได้ในรอบ 14 ปี
เป็นแชมป์ : แบบที่ไม่เคยขึ้นจ่าฝูงมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว จนเกมสุดท้ายที่ชนะ สมุทรปราการ ซิตี้ 2-0 นี่คือการขึ้นจ่าฝูงครั้งแรกพร้อมกับการคว้าแชมป์ไปครองในทันที
เพราะถึงขะแต้มเท่ากันที่ 60 คะแนน และเป็นรองในเรื่องของลูกได้-เสีย แต่ผล H2H ที่เจอกันในลีก นครปฐม เอาชนะ ตราดได้ทั้ง 2 นัด ซึ่งการมี H2H ที่ดีกว่า ก็จะส่งให้พวกเขาคว้าแชมป์ไปครอง
เป็นแชมป์ : แบบที่ทั้งฤดูกาลยิงได้ 32 ประตู จาก 34 นัด (เฉลี่ยไม่ถึง 1 ประตู) แถมยิงน้อยกว่าทีมอันดับ 3 อย่าง อุทัยธานี ที่ทำไปมากถึง 70 ประตู
นอกจากนี้ “โค้ชธง” ยังสร้างสถิติเป็นกุนซือคนแรกที่คุมทีมเลื่อนชั้นตั้งแต่ ไทยลีก 4 มายัน ไทยลีก 1
2561 : พา นครปฐม เป็นแชมป์ไทยลีก 4 เลื่อนชั้นสู่ไทยลีก 3
2562 : พา นครปฐม เป็นรองแชมป์ไทยลีก 3 เลื่อนชั้นสู่ไทยลีก 2
2566 : พา นครปฐม เป็นแชมป์ไทยลีก 2 เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุด
ว่ากันว่าสูตรสำเร็จ “เสือป่าราชา” ฉบับ “โค้ชธง” คือเกมรับ
สถิติตอบแทนได้ดี 34 เกมในไทยลีก 2 นครปฐม เสียไป 20 ประตู (น้อยที่สุดในลีก) ที่สำคัญกว่าพวกเขาเก็บคลีนชีตไปถึง 17 เกม
สิ่งเหล่านี้บอกเราได้ว่า “โค้ชธง” พิถีพิถันในเกมรับอย่างมาก ตามปรัญชาลูกหนังที่หลายคนว่ากันไว้ “เกมรุกทำให้คุณชนะ แต่เกมรับจะทำให้คุณเป็นแชมป์”
แม้แฟนบอลที่อคติกับ “โค้ชธง” เป็นทุนเดิมจะมานั่งแซะผ่านคีย์บอร์ดว่า “บอริ่งฟุตบอล” หรือการเป็นแชมป์แบบไม่ได้สวยงาม เล่นน่าเบื่อ ไร้เสน่ห์
แต่ขอโทษ หากคุณไปไล่ดูชื่อนักเตะ นครปฐม ในชุดของ “โค้ชธง” คุณจะเห็นว่าส่วนใหญ่แข้งพวกนี้แทบไม่ได้มีดีกรีเด่นกังอะไรเลย เป็นแข้งโนเนม หรือจากลีกล่าง ๆ ที่ถูกดึงเข้ามา
การเป็นทีมเล็ก ทรัพยากรลูกหนังจำกัด เสียผู้เล่นหลักออกไปทุกปี บีบให้พวกเขาต้องเล่นตามแท็คติกเพื่อเป้าหมาย มากกว่าสไตล์ที่สวยงาม
ฟุตบอลไม่ใช่ยิมนาสติกลีลา กติกาคือนับคะแนนจากการทำประตู
อีกปัจจัยสำคัญในฤดูกาลนี้คือ บรรดาจ่าฝูงหัวตารางในช่วงเลกแรกก็ฟอร์มแกว่ง ไม่สามารถรักษามาตรฐานได้เท่ากับ นครปฐม
การคิดวิเคราะห์ ความทุ่มเท นำมาใช้ในภาคปฏิบัติ ด้วยงบประมาณที่มีจำกัด วันนี้ “โค้ชธง” แสดงให้เห็นแล้วว่าทำได้จริง ไม่ได้แค่โม้ผ่านหน้าจอ
เกรียนคีย์บอร์ดสายแซะ “โค้ชธง” คงหุบปากอยู่เงียบ ๆ ไปได้สักพัก
