แม้จะร้างราความสำเร็จ ผลงานในซีซั่นที่ผ่านมาไม่น่าอภิรมย์แต่ กิเลนผยอง ยังมีกลิ่นอายความเป็น “บิ๊กทีม” อยู่ทุกอณูรูขุมขน ไม่ว่าจะเป็นการบริการจัดการ แฟนบอล หรือ ทรัพยากรนักเตะภายในทีม

เปรียบสโมสรเป็นร้านอาหาร คงไม่ต่างจากภัตตาคารหรูระดับ 3-5 ดาว ตั้งตระหง่านย่านชานเมือง

มีเชฟระดับโลกมากมายที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ มาเป็นพ่อครัวให้ ไม่ว่าจะเป็น อรรถพล ปุษปาคม, ธชตวัน ศรีปาน, เรเน่ เดอซาเยียร์, เอ็นริเก คาลิสโต, ร็อบบี ฟาวเลอร์, สลาวิซา โยคาโนวิช หรือคนล่าสุดอย่าง ราโดวาน เคอร์ซิช

ทั้งหมดต่างเป็นเชฟฟุตบอลที่มากฝีมือ มีชื่อเสียงในวงการ

แต่แล้ววันหนึ่ง … สโมสรกลับตัดสินใจใช้งาน ไพโรจน์ บวรวัฒนดิลก เข้ามาปรุงรสชาติลูกหนังในภัตตาคารที่ตั้งติด ธันเดอร์โดม

ย้อนกลับไปเส้นทางของ “โค้ชเบ๊” เป็นเพียงกุนซือที่ทำสโมสรระดับกลา เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น โอสถสภา, บางกอก เอฟซี, สระบุรี เอฟซี, สุโขทัย เอฟซี หรือ สุพรรณบุรี เอฟซี ที่มีสถานะพาทีม “หนีตกชั้น” และจบอันดับเลขตัวเดียว เป็นเป้าหมายหลัก

หากเปรียบคงไม่ต่างจากครัวลูกหนังระดับ ร้านข้างทาง หรือ สตรีทฟู๊ด ที่มีวัตถุดิบให้เลือกใช้อย่างเพียงจำกัดจำเขี่ย จากเม็ดเงินที่สโมสรลงทุนให้เท่าที่พอไหว

“ผมมั่นใจว่าผมจะรวมสปิริตทีมเอสซีจีเมืองทองฯกลับมาได้ดังเดิม ในชีวิตการเป็นโค้ชของผม ยังไม่เคยมีผู้เล่นที่ดีขนาดนี้มาก่อน” คือบทสัมภาษณ์ของ ไพโรจน์ในวันแถลงข่าวกับ “กิเลนผยอง”

เฮแบร์ตี แฟร์นานเดส, ธีรศิลป์ แดงดา, ธีราทร บุญมาทัน, อ่อง ธู หากเปรียบนักเตะเหล่านี้เป็นอาหาร คงไม่ต่างจากเนื้อพรีเมียมชั้นดี ที่พร้อมละลายในปาก

ยังไม่นับรวมถึงนักเตะอย่าง ชาริล ชัปปุยส์, มาริโอ ยูรอฟสกี, สารัช อยู่เย็น, อดิศักดิ์ ไกรษร ที่มีป้ายดีกรีทีมชาติ แปะอยู่บนสินค้า

ทำให้ครั้งนี้เป็นหนแรกที่ “เชฟเบ๊” จะเข้ามาสู่ภัตตาคารลูกหนังหลังโต ที่เพียบพร้อมด้วยระบบการจัดการระดับสากล มีวัตถุดิบชั้นดีให้เลือกสรรปรุงรสชาติได้ตามใจชอบ และเป็นอีกหนึ่งภารกิจที่ท้าทายของเขา

อีกทั้งยังเป็นการ “เดิมพัน” ครั้งสำคัญของ เอสซีจี เมืองทอง สำหรับการเลือกเชฟคนใหม่เข้ามาดูแลครัวลูกหนังอีกด้วย

จากเชฟลูกหนังร้านอาหารระดับสตรีทฟู๊ด วันหนึ่งเขาได้รับโอกาสมาอยู่ในครัวระดับภัตตาคาร “เชฟเบ๊” จะเจียดมันสมอง ลองผิดผสมถูกเมนูอย่างไร ในกรอบเวลาที่มีช่วงปิดฤดูกาล

ให้อาหารลูกหนังจานนี้ลงตัว กลมกล่อม พร้อมเสิร์ฟที่สุด