แค่เสียดาย แต่อย่าเสียใจ
น่าเสียดายจริงๆ นะครับ
แมนฯซิตี้ของเป๊ป อุตส่าห์สะดุดด้วยการแพ้นิวคาสเซิ่ล
ยูไนเต็ดของอดีตผู้จัดการทีมหงส์แดง อย่างราฟา เบนิเตซให้แล้วแท้ๆ
และลิเวอร์พูลมีโอกาสที่จะทำแต้มหนีแมนฯซิตี้เป็น 7 คะแนนได้แบบนี้
แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่เสมอกับผู้มาเยือนอย่าง “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งถ้าจะว่ากันตรงๆ
ก็ถือว่าน่าเสียดายอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าใครได้ดูทั้งเกมและลดอาการหัวร้อนลงไปได้แล้ว
อาจจะต้องยอมรับจริงๆ นะครับ ว่าผลเสมอแบบนี้ก็ถือว่า “โชคดี” แล้วในระดับหนึ่ง
กับในวันที่ยากลำบากแบบนี้แล้วลิเวอร์พูลไม่เพียงแต่จะรักษาระยะห่างจากทีมตามอย่างแมนฯซิตี้
ไว้ได้ แต่ยังทำคะแนนฉีกหนีออกไปได้อีกด้วย แม้จะเพิ่มแค่ 1 คะแนน ไม่ใช่ 3
คะแนนอย่างที่หลายคนหวังก็ตาม
สภาพทีม - สภาพอากาศไม่เป็นใจ
ลิเวอร์พูลนั้นได้พักยาวๆ ติดต่อกันหลายวัน
จากการที่โปรแกรมการแข่งขันน้อยลง และดูเหมือนว่าปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บของผู้เล่นจะหมดปัญหาไป
แต่ในความเป็นจริงแล้วปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บของผู้เล่นลิเวอร์พูลดูจะเรื้อรังกว่าที่คิด
ทำให้ในนัดนี้ลิเวอร์พูลจัดทีมแบบพิลึกพิลั่น อยู่พอสมควร
โดยตำแหน่งแบ็กขวาที่มีปัญหา คลอปป์เลือกที่จะใช้จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ในตำแหน่งนี้
มากกว่าที่จะใช้ราฟาเอล คามาโช่ที่ไม่มีประสบการณ์ในเกมสำคัญๆ แบบนี้
และใช้บริการของนาบี เกอิต้า ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางหรือ บ๊อกซ์ทูบ๊อกซ์
ซึ่งเขาจะถูกดึงลงต่ำลงมาจากธรรมชาติในการเล่นของเขาซึ่งก็มาจากปัญหาความฟิตของฟาบินโญ่นั่นเอง
และนอกเหนือจากปัญหาเรื่องผู้เล่นของลิเวอร์พูลแล้ว
ปัญหาเรื่องสภาพอากาศก็มีส่วนในการเล่นของลิเวอร์พูลอยู่เหมือนกัน
จากการที่มีหิมะตกหนักมากๆ
ขนาดที่สนามของลิเวอร์พูลมีเครื่องละลายหิมะแล้วเราก็ยังเห็นสนามมีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดเรื่อยๆ
นั่นทำให้การควบคุมน้ำหนักบอล เป็นไปได้ยาก
และด้วยธรรมชาติของทีมลิเวอร์พูลที่เน้นการต่อบอลและการเคลื่อนตัวค่อนข้างมากแบบนี้
อากาศที่หนาวเย็นจัด และสภาพสนามค่อนข้างไม่เป็นใจกับพวกเขาเลยจริงๆ
จุดเปลี่ยนสำคัญ
จริงๆ เกมนี้ลิเวอร์พูล ถือว่าไม่ได้เล่นแย่อะไรมากมายนักนะครับ พวกเขาเริ่มต้นได้สวยงามมากๆ
ด้วยซ้ำจากการขึ้นนำตั้งแต่ไก่โห่จาก ซาดิโอ มาเน่
และพวกเขาก็พยามหาโอกาสส่องประตูที่ 2 อยู่เรื่อยๆ
เพียงแต่ยังไม่สามารถเอาชนะการเซฟของชไมเคิ่ลได้เท่านั้น
จนล่่วงเลยมาถึงจุดเปลี่ยสำคัญจุดแรก คือการเสียฟาวล์โดยไม่จำเป็นจากแอนดี้ โรเบิร์ตสันช่วงท้ายเกม
เพราะจริงๆ แล้วจังหวะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องทำฟาลว์ก็ได้แต่ก็เข้าพรวดไป
และจากฟรีคิกครั้งนี้เอง ก็เป็นเหตุมาให้ลิเวอร์พูลเสียประตูตีเสมอไปจนได้ ทั้งๆ
ที่จะหมดเวลาอยู่แล้ว ซึ่งถือว่าน่าเสียดายจริงๆ เพราะถ้าหมดครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ 1-0 ลิเวอร์พูลอาจจะได้ 3 คะแนนจากเกมนี้ไปในท้ายที่สุดก็ได้
จุดเปลี่ยนที่สำคัญมากๆ อีกอย่าง คือ “การตัดสินของกรรมการ” นั่นเองครับ
ว่ากันตรงๆ คือ ต่อให้คุณแช่งลิเวอร์พูลยังไงก็ตาม ถ้าคุณมีความเป็นกลางพอ
คุณจะเห็นได้เลยว่า เกมนี้กรรมการค่อนข้างไม่เป็นใจกับลิเวอร์พูลซักเท่าไรครับ
การเป่านกหวีดหลายๆ ครั้งส่งผลเสียมากกว่าผลดีกับฝั่งเจ้าบ้านชัดเจน
ทั้งจังหวะที่แฮร์รี่ แมกไกวร์ สกัดมาเน่ ในจังหวะหลุดเดี่ยว ซึ่งถ้าโหดๆ
หน่อยจะให้ใบแดงยังได้ แต่ก็ให้แค่ใบเหลือง โอเคจังหวะนี้อาจจะไม่ชัดเจน
ยกประโยชน์ให้จำเลยได้ แต่จังหวะที่สมควรจะเป็นจุดโทษมากๆ จากจังหวะหลุดเข้าไปล่อเป้าของนาบี
เกอิต้า และจังหวะที่มาเน่ได้โอกาสยิงเหน่งๆ
แต่กรรมการจับเป็นลูกล้ำหน้าไปซะอย่างนั้น ซึ่งถ้าว่ามองกันจริงๆ
จังหวะลูกที่เลสเตอร์ได้ประตูตีเสมอ ก็ลักษณะคล้ายๆ แบบนี้
แต่กรรมการดันไม่เป่าล้ำหน้าเฉย (ไม่ได้บอกว่าแมกไกวร์ล้ำนะครับ) จุดเปลี่ยนสำคัญนี้เองที่ฉุดแต้มของลิเวอร์พูลให้หยุดอยู่เพียงแค่
1 คะแนนในเกมนี้
เทพีแห่งโชคยังอยู่ข้างหงส์แดง
ถึงจะบอกว่าเสียดายยังไงก็ตาม แต่ถ้ามองกันในแง่ของความเป็นจริง
ยังถือว่าลิเวอร์พูลยังโชคดีอยู่ครับ รูปเกมแบบนี้ เกมที่ไม่ค่อยเป็นใจแบบนี้
ถ้าเป้นปกติหรือปีก่อนๆ บอกเลยว่า “พัง” ไปแล้ว
แต่นี่ลิเวอร์พูลยังสามารถเก็บแต้มในเกมแบบนี้ได้ และยิ่งโชคดีอีกชั้น
ที่ในเกมที่ลิเวอร์พูลสะดุดแบบนี้ ทีมคู่แข่งอย่างแมนฯ ซิตี้
ก็ยังมาสะดุดด้วยเหมือนกัน ลองคิดง่ายๆ ว่า ถ้า แมนฯซิตี้ เก็บ 3 คะแนนได้กับนิวคาสเซิ่ล
และลิเวอร์พูล สะดุดเสมอแบบนี้ แต้มที่ห่างจาก 5 คะแนนในความเป็นจริง จะเหลือแค่ 2 คะแนน
ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง
สถานการณ์ของลิเวอร์พูลจะลำบากกว่านี้เยอะมากพอสมควรเลยทีเดียวครับ
การสะดุดของพวกเขาในเกมนี้แค่ “น่าเสียดาย” ครับแต่ในการลุ้นแชมป์ลีกของพวกเขา เรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่เสียหายเลย การสะดุดแบบนี้แต่กลับมีช่องว่างของคะแนนเพิ่มมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ สถานการณ์ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไม่ว่าจะยังไงก็ตามที่ 1 ของตารางตอนนี้ยังเป็นลิเวอร์พูลเหมือนเดิม และทุกอย่างยังอยู่ในมือของพวกเขาเหมือนเดิมครับ
จบเดือนมกราคมแล้ว การชิงชัยเหลืออีกแค่ 14 เกม เวลางวดเข้ามาเรื่อยๆ ยิ่งเกมเหลือน้อยลงเท่าไหร่ ฝ่ายที่จะกดดันก็คือ ทีมที่ไล่ตามครับ ในขณะที่ทีมนำแค่รักษาช่องว่างให้เท่าเดิม หรืออย่างน้อยไม่พลาดให้โดนแซงง่ายๆ คำว่า “ผู้ชนะ” ไม่มีทางหนีไปไหนครับ
จนกว่าจะถึงวันนั้น ... อดทนกันหน่อยนะ เหล่าเดอะ ค็อป ทั้งหลาย ไหนๆก็รอมาตั้ง 29 ปีแล้ว รออีกนิดจะเป็นอะไรไป