:::     :::

เมื่อหงส์แดงกลับมาเป็นร๊อคกี้ บัลบัวอีกครั้ง!

วันอังคารที่ 05 มีนาคม 2562 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
4,242
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
การร่วงจากตำแหน่ง "จ่าฝูง" ของลิเวอร์พูล ทำเอาแฟนๆเหล่าเดอะ ค็อป พากันหัวเสียทั่วหน้า โดยเฉพาะกับฟอร์มที่น่าผิดหวังในช่วงนี้

            แตกตื่นโกลาหลกันยกใหญ่แล้วนะครับ หลังจากลิเวอร์พูลที่เคยนำแมนฯ ซิตี้ มาตลอดตั้งแต่เดือนธันวาคม  ตอนนี้พวกเขากลับกลายเป็นทีมตามหลังแมนฯ ซิตี้จนได้ หลังจากทำได้แค่เสมอกับคู่แข่งร่วมเมืองอย่างท๊อฟฟี่สีน้ำเงิน เอฟเวอร์ตันไปแบบไม่สกอร์ 0-0 แถมฟอร์มการเล่นยังไม่เป็นที่สบอารมณ์กองเชียร์ซักเท่าไร ตรงนี้แหละครับที่ทำให้แฟนๆ หลายคนจิตตกจนบางคนถึงขั้นยอมแพ้ไปแล้วด้วยซ้ำ!!

ความกดดันที่อันหนักหน่วง 

           
ถึงตอนนี้คงปฏิเสธไม่ได้แล้วครับ ว่าลิเวอร์พูลนั้นโดนความกดดันเล่นงานจนออกอาการมากพอดูเหมือนกัน ในส่วนของเกมรับอาจจะไม่ส่งผลอะไรเท่าไร แต่กับเกมรุกนั้นค่อนข้างเห็นได้ชัดเจนพอสมควรจริงๆ ครับ ยิ่งกับเกมเยือนหรือเกมที่คู่ต่อสู้ลงมาตั้งเน้นรับเป็นพิเศษ พวกเขายิ่งดูร้อนรน และเล่นไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย โดยเฉพาะตัวความหวังสูงสุดของทีมอย่าง โม ซาล่าห์นั้นยิ่งออกอาการมากกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด เกมนี้จริงเขาเล่นได้ไม่เลวร้ายอะไร เพียงแต่ว่าพอเขามีโอกาสทองที่น่าจะทำได้เขาดันไม่นิ่งพอและปล่อยโอกาสนั้นหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย จริงๆ แล้วเราก็ไม่สามารถรู้ได้หรอกครับว่าซาล่าห์นั้นโดนความกดดันเล่นงานมากขนาดนั้นไหน หรือว่านี่แค่อาจจะเป็นแค่ช่วงฟอร์มฝืดของเขา แต่ซาล่าห์ที่แฟนๆ ลิเวอร์พูลคุ้นเคย ถ้าได้จังหวะเหน่งๆ แบบนี้ โอกาสที่ซาล่าห์จะพลาดนั้นมีน้อยมากเหลือเกิน ส่วนผู้เล่นแนวรุกคนอื่นก็โดนจับตายเสียจนทำอะไรไม่ถนัดถนี่เท่าไรนัก มาเน่ และ โอริกี้ที่นัดก่อนโชว์ฟอร์มได้ค่อนข้างดี นัดนี้ก็เงียบกริบไปเลย เพราะเจอเกมรับที่แข็งแกร่ง ผนวกกับความดุดันในการเป็นเกมดาร์บี้แมชต์แบบนี้ ทั้งสองคนก็กระดิกไม่ออกเหมือนกัน ถึงไม่อยากยอมรับแต่ก็แก้ตัวยากล่ะครับ ว่าแรงกดดันจากแมนฯซิตี้ที่ส่งมามันส่งผลต่อพวกเขาพอสมควรจริงๆ 






มีแต่กรรมกรแต่ไร้ซึ่งจิตกร

           
เจอร์เก้น คลอปป์นั้นเวลาเล่นเกมใหญ่ๆ สำคัญๆ มันจะจัดแผงมิดฟิลด์แบบ “เน้นพลัง” โดยการจะใช้มิดฟิลด์ตัวรับ 1 คน และที่เหลือจะใช้เป็นมิดฟิลด์ Box to Box อีก 2 คนคอยวิ่งไล่เพรสซิ่ง แย่งบอลและช่วยเกมทั้งเกมรุกและเกมรับ โดยเกมนี้นั้นคลอปป์เลือกเอา ฟาบินโญ่ - ไวจ์นัลดุม - เฮนเดอร์สัน ลงมาพร้อมกัน โดยดูจากตัวผู้เล่นและจากผลลัพท์ที่ออกมา ก็ต้องยอมรับล่ะครับว่าเจอร์เก้น คล็อปป์นั้น “ระวังตัว”  เกินไป เพราะจากรายชื่อทั้ง 3 คนนี้เราแทบจะหวังอะไรกับการสร้างสรรค์เกมไม่ได้เอาเสียเลย ถ้าเปลี่ยนจาก 3 คนนี้แล้วเลือกเอานาบี เกอิต้ามาแทนที่ซัก 1 ตำแหน่งอาจจะทำให้ลิเวอร์พูลมีการเล่นเกมรุกได้หลากหลายและสร้างสรรค์กว่านี้ ในเกมที่ “ต้องการ 3 คะแนน” อย่างเกมนี้แต่กลับใช้มิดฟิลด์ที่เน้นพละกำลัง มันก็ดูขัดๆ กันยังไงชอบกล.... อีกอย่างที่ต้องยอมรับเช่นกัน  ว่าความกดดันไม่ได้ส่งผลแต่กับผู้เล่นอย่างเดียวจริงๆ แม้แต่ยอดโค้ชอย่างคล็อปป์เองก็ยังส่งผลไปด้วยเหมือนกันนะครับ 

การแก้เกมที่ปวดตับ 





           
โอเคล่ะครับ เมื่อมันไร้ไอเดียและทีมต้องการความเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนเอาฟิร์มิโน่และเจมส์ มิลเนอร์ลงมาเป็นอะไรที่เข้าใจได้แน่นอนอยู่แล้ว เพราะ 2 คนนี้พอคาดหวังได้ ว่าจะสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่ที่แฟนๆ หลายๆ คนคงมึนงงและสงสัย คือการเปลี่ยนตัวเอาอดัม ลัลลานา ลงมาแทนที่ซาดิโอ มาเน่นั่นแหละครับ ตรงนี้ผมว่าหลายๆ คนน่าจะหงุดหงิดและอดที่จะตั้งคำถามกับเจอร์เก้น คล็อปป์ไม่ได้แน่ๆ ว่า “เขาคิดอะไรอยู่??” หรือ “ไปติดใจอะไรลัลลาน่า??” นักหนา  ยิ่งเมื่อมองไปในม้านั่งสำรองก็ยิ่งไม่เข้าใจนะครับ คนที่รอโอกาสอยู่มีทั้งคนที่หวังในลูกตั้งเตะ ลูกจ่ายสวยๆ หรือลูกยิงไกลได้อย่างเซอดาน ชาคิรี่  หรือมีทั้งเกอิต้า ที่หวังได้กับการลากเลี้ยงทะลุทะลวงและการยิงไกล หรือถ้าหวังกับการยิงประตู ก็ยังสามารถส่งดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ลงมาเพื่อที่จะหวังลูกปาฏิหารย์จากเขาก็ยังพอเข้าใจได้ ....  แต่กับลัลลาน่าที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมา ผมเองก็ยังบอกไม่ได้ด้วยซ้ำครับ ว่าเราจะสามารถหวังอะไรกับมิดฟิลด์สุดหล่อรายนี้ในการพลิกเกมได้จริงๆ หรือ ???? ซึ่งลัลลาน่าเองก็ไม่ทำให้ผิดหวังครับ เพราะว่าเขานั้นก็เล่นได้อย่างไร้ซึ่งความหวังอะไรแบบที่เราคิดกันนั่นแหละ จริงๆ แล้วคล็อปป์ควรต้องยอมรับให้ได้แล้วล่ะครับ ว่าวันเวลาดีๆ ของลัลลาน่ากับลิเวอร์พูลนั้น ได้ผ่านไปนานมากแล้ว และเขาไม่ควรจะคาดหวังอะไรกับลัลลาน่าอีกต่อไป ถ้าไม่อยากจะผิดหวังซ้ำๆ อีก


ร่วงจ่าฝูง

          

            หลังจากเกมจบไปแบบน่าหงุดหงิด ก็ทำให้ตอนนี้ลิเวอร์พูลกลับกลายมาเป็นที่ 2 โดยสมบูรณ์แบบไปเสียแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าดูจากคะแนนที่ทีมทำได้ ถือว่าทีมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมและไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย  จริงๆ แล้วการเสมอทีมอย่างเวสต์แฮม, แมนฯยูไนเต็ด, เอฟเวอร์ตัน ในเกมไปเยือนแบบนี้ ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย  แต่ก็นั่นแหละครับเมื่อทีมที่ไล่ล่าเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมอย่างแมนฯซิตี้ภายใต้ยอดโค้ชอย่างเป๊ป กวาร์ดิโอล่า การทำแต้มตกหล่นแม้จะเล็กๆ น้อยๆ ก็กลายเป็นความเสียหายที่ใหญ่หลวง และกลายเป็นความผิดพลาดระดับคอขาดบาดตายไปเลยแบบนี้ล่ะครับ


           
แต่เกมยังไม่จบครับ ยังเหลืออีก 9 นัดอย่าเพิ่งถอดใจยอมแพ้หรือยกแชมป์ให้กับแมนฯซิตี้ง่ายๆ ไปเสียอย่างนั้น (บางคนไล่โค้ชกันแล้วนะ 5555) จริงๆ แล้วถ้าเรามองกันให้ละเอียดจริงๆ ถ้าแมนฯ ซิตี้ไม่ทำแต้มหลุดลิเวอร์พูลก็ไม่ได้นำมาตลอดในช่วงหลังนี่หรอกครับ ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามันก็ไม่ใช่ว่าแมนฯ ซิตี้เป็นทีมที่ไร้เทียมทางและแพ้ไม่เป็นอะไรเลยเสียหน่อย ตอนนี้ตามทีมนำอยู่แค่แต้มเดียวแค่นั้น แค่ผลการแข่งขันแค่นัดเดียวสถานการณ์ก็พลิกผันได้แล้วครับ บางทีการกลับไปเป็นร็อคกี้ บัลบัว หรือผู้ท้าชิงแบบตอนต้นฤดูกาลอาจจะเหมาะกับทีมอย่างลิเวอร์พูลมากกว่าก็ได้ครับ ถึงเวลานี้ก็ไม่มีอะไรให้ต้องคิดมากและระวังอะไรอีกแล้วครับ มีเท่าไรใส่ให้หมดในฐานะ “ผู้ท้าชิง” อีกครั้งก็พอ !!!


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด