:::     :::

ทุกความพยายามไม่เคยไร้ค่า

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ฟุตบอลโลก 2019 ของแข้งสาวทีมชาติไทยจบลงไปพร้อมความทรงจำทั้งด้านบวกและลบ

ทัพชบาแก้วภายใต้การนำของ "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีม และ "โค้ชหนึ่ง" หนึ่งฤทัย สระทองเวียน ตกรอบแรกเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันจากการพ่ายรวดตลอด 3 นัด 

ฟุตบอลโลกที่ฝรั่งเศสครั้งนี้มอบประสบการณ์อันหนักหน่วงให้กับแข้งสาวทีมชาติไทย ฝันร้ายสุดคือนัดเปิดสนามที่ถูกสหรัฐฯ ไล่ถล่ม 13-0 กลายเป็นสถิติแพ้ขาดลอยสุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย

ในการลงสนาม 3 นัด แข้งสาวไทยเสียรวม 20 ประตู กลายเป็นสถิติมากสุดของรอบสุดท้าย  

ย้อนไป 4 ปีที่แล้ว สาวไทยประเดิมฟุตบอลโลกได้น่าพอใจ เก็บชัยชนะได้ 1 นัดเหนือไอวอรี่โคสต์ 3-2 และแพ้ 2 นัดต่อทีมแกร่งอย่างเยอรมันและนอร์เวย์ในสกอร์ 0-4 เท่ากัน

ผลงานครั้งนี้แย่กว่าในเกือบทุกด้าน และเป็น 1 ใน 5 ทีมร่วมกับเกาหลีใต้, แอฟริกาใต้, จาเมกา และ นิวซีแลนด์ ที่ไม่มีคะแนนติดมือกลับบ้าน

แต่ในความทรงจำอันเลวร้ายก็ทำให้เราได้เห็นอีกหลายแง่มุมที่มีมากกว่าเรื่องของผลการแข่งขัน 


เราได้เห็นความเป็นมืออาชีพเต็มเปี่ยมของแข้งสาวมะกัน มันคือวิถีของมืออาชีพอย่างแท้จริง แข้งแชมป์โลก 3 สมัยและเต็งหนึ่งในครั้งนี้ทำให้เห็นว่าการเล่นเต็มที่ก็คือการให้เกียรติคู่ต่อสู้อีกอย่าง 

แน่นอนว่าผลการแข่งขันที่ออกมามันโหดร้ายในความรู้สึกอย่างยิ่ง แข้งสาวไทยหลายคนจึงร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใครเพราะสิ่งที่ต้องเจอมันหนักเกินกว่าจะเก็บเอาไว้ในข้างใน 

การแพ้ให้กับคู่ต่อสู้ที่ดีกว่าคือเรื่องปกติของการแข่งขัน เพียงแต่การแพ้ยับเกินกว่าที่คาดก็ยากจะรับได้และมันเกิดขึ้นตั้งแต่นัดแรกที่ลงสนาม

ก่อนทัวร์นาเมนต์เปิดฉาก ทุกคนในทีมต่างหวังที่จะสร้างผลงานให้ดีกว่าเดิมจากบอลโลกครั้งก่อน มันคือเป้าหมายพื้นฐานของการเล่นกีฬาที่ต้องพยายามพัฒนาตัวเอง 

บรรยากาศหลังจบนัดแรกหดหู่อย่างที่สุด บางคนคงข่มตาหลับนอนได้ยาก มันเป็นยิ่งกว่าฝันร้ายเพราะเกิดขึ้นจริงและเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ในช่วงชีวิตที่ได้ชื่อว่าเป็นนักฟุตบอลก็คงไม่มีวันใดที่แย่ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว

อย่างที่มาดามแป้งบอกเอาไว้คือ สิ่งที่น่าห่วงไม่ใช่ฟอร์มการเล่นในสนามหากแต่สภาพความรู้สึกที่เสียขวัญ เสียกำลังใจ สติหลุดล่องลอยกระเจิดกระเจิง

แต่การลงสนามนัดสองเราก็ได้เห็นมุมที่แข็งแกร่งของแข้งสาวตัวเล็กๆ ที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง

เราอาจจะแพ้เป็นนัดที่ 2 ต่อสวีเดนก็จริง แต่ 90 นาที แข้งชบาแก้วก็พยายามสู้อย่างสุดความสามารถ สู้อย่างถึงที่สุด และสู้ทั้งที่หัวใจเพิ่งแตกสลาย 

ประตูตีไข่แตกของ กาญจนา สังข์เงิน จึงมีความหมายอย่างมาก เราดีใจราวกับว่ามันคือประตูชัยที่ทำให้ผ่านเข้ารอบต่อไป น้ำตาของมาดามแป้งที่ข้างสนามบ่งบอกความรู้สึกได้ครบถ้วน 

มันคือน้ำตาที่ต่างจากนัดแรกโดยสิ้นเชิงเพราะครั้งนี้มาจากความรู้สึกดีใจ ตื่นตันใจ และโล่งใจ ประตูของกาญจนาทลายความอัดอั้นที่สะสมมาหลายวัน และก็ไม่ใช่นักเตะไทยและแฟนบอลไทยเท่านั้นที่รู้สึก แฟนบอลทั่วโลกเองก็สัมผัสได้

เสียงชื่นชมจากแฟนบอลต่างชาติไม่ได้มองว่ามันคือประตูตีไข่แตกที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงผลการแข่งขัน แต่มันคือประตูที่ทำให้เห็นว่า แข้งสาวไทยสามารถลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง สามารถตื่นจากฝันร้าย และสามารถรวมหัวใจให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวได้อีก


ฟุตบอลและกีฬาทุกอย่างไม่ได้เป็นเรื่องของผลแพ้-ชนะเสมอไป เราสามารถมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ ในสายตาคนอื่น แต่ยิ่งใหญ่สำหรับตัวเราเองได้ 

ประตูของสวีเดนคงไม่ได้สลักสำคัญไปกว่าอีก 4 ประตูที่ทำได้ เช่นเดียวกับ 1 ประตูของสหรัฐฯ ที่ก็คงไม่ต่างจากอีก 12 ประตูที่เหลือ แต่ 1 ประตูของแข้งสาวไทยมีค่ามากเหลือเกินเพราะมันมาจากความพยายามอย่างถึงที่สุด   

ความสำเร็จของแต่ละคน-แต่ละทีมแตกต่างกัน บางทีมตั้งเป้าหมายเป็นแชมป์ บางทีมขอผ่านรอบแบ่งกลุ่มให้ได้ สาวไทยเราก็หวังที่รอบน็อกเอาต์เช่นกัน 

แต่หลังผ่านนัดแรกที่กลายเป็นฝันร้ายที่สุดของชีวิตนักฟุตบอล การที่พวกเธอยันกายลุกขึ้นได้อีกครั้งก็ถือเป็นความสำเร็จที่มีค่ามากกว่าการเข้ารอบหรือรางวี่รางวัลใดๆ พวกเธอทำให้เห็นว่ามีหัวใจที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่มากเพียงใด

กีฬาสอนเราให้รู้แพ้ รู้ชนะ แต่อีกสิ่งที่มอบบทเรียนให้ทุกคนได้คือ สอนให้รู้ว่าทุกความพยายามไม่เคยไร้ค่า 

เราเกือบทำเซอร์ไพรส์พลิกเข้ารอบในนัดสุดท้ายได้อยู่แล้วหากไม่เพราะผลคู่แคเมอรูนกับนิวซีแลนด์ผิดไปจากที่คาด ทำให้การลงสนามนัดสุดท้ายของเรากับชิลีเหลือโฟกัสหลักอยู่ที่การเล่นเพื่อศักดิ์ศรีส่งท้าย

ผลการแข่งขันไม่ได้ต่างจาก 2 นัดแรก แต่ทัพชบาแก้วก็สู้อย่างเต็มที่อีกครั้ง หาโอกาสลุ้นทำประตูได้หลายครั้ง และไม่ยอมเป็นทางผ่านให้ชิลีเข้ารอบง่ายๆ ซึ่งสุดท้ายก็เป็นชิลีที่ทำไม่ได้เองจากการพลาดจุดโทษที่ตัดสินการ "เข้ารอบ" และ "ตกรอบ" ได้เลย

น้ำตาของแข้งสาวไทยหลั่งออกมาอีกครั้งหลังจบนัดที่ 3 แต่ครั้งคือน้ำตาแห่งการร่ำลาเมื่อ "มาดามแป้ง" และ "โค้ชหนึ่ง" ตัดสินใจวางมือจากหน้าที่กับทัพชบาแก้ว ทิ้งไว้เพียงความทรงจำอันมากมาย


แฟนบอลที่มองเพียงด้านเดียวก็คงเลือกจำแค่ว่าเราคือทีมที่แพ้ยับสุดของบอลโลก เป็นความอับอายเกินรับได้ ทั้งที่ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้มีสองด้านหรือมากกว่า 2 ให้ได้มองเสมอ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มาดามแป้ง, โค้ชหนึ่ง และแข้งสาวไทยสร้างความภูมิใจให้แฟนบอลได้แบบที่แข้งฟุตบอลชายไม่สามารถทำได้กับการผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ถึง 2 สมัย รวมถึงได้แชมป์ซีเกมส์และแชมป์อาเซียนอีกหลายสมัย

แค่ข้อเท็จจริงที่ว่าลีกอาชีพของฟุตบอลหญิงบ้างเราไม่มี แต่ทีมชาติไปเล่นฟุตบอลโลกได้ก็เหลือเชื่ออย่างยิ่งแล้ว 

ขอขอบคุณ มาดามแป้ง, โค้ชหนึ่ง สตาฟฟ์โค้ช และแข้งสาวไทยทุกคนสำหรับความทุ่มเทและพยายามในฐานะตัวแทนทีมชาติ 

สิ่งที่พวกคุณทำไม่เคยสูญเปล่า แต่จะอยู่ในความทรงจำของแฟนบอลไทยไปอีกนาน 


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด