เป็นอีกหนึ่งนัดที่ลูกทีม อากิระ นิชิโนะ โชว์ของให้คู่ต่อสู้ระดับเอเชียได้เห็นว่า “ช้างศึก” หาใช่มีดีที่เป็นเพียงเจ้าภาพจัดการแข่งขันอย่างเดียว

แม้ปลายทางจะเดินออกจากสนามในฐานะ “ผู้แพ้” ทว่าประตูการเข้าสู่รอบถัดไปยังไม่ถูกปิดลง

รายละเอียดระหว่างทางบนผืนหญ้า 90 กับ ออสเตรเลีย มีหลายประเด็นที่ถูกยิบยกมาพูดคุย และมื้อนี้ เราขออนุญาตสรุปให้ฟังแบบพอสังเขป จากสิ่งที่เรามองเห็นจากข้างสนาม

 

พระเอกในครึ่งเวลาแรก

เอาเข้าจริงเกมครึ่งแรกที่เราพบ ออสเตรเลีย เราทำได้ดีกว่านัดชนะบาห์เรนด้วยซ้ำ ทีมชาติไทย เริ่มต้นด้วยการเพรสซิ่งสูง จนแนวรับออสเตรเลียไม่สามารถต่อบอลสั้นได้ ครั้นพอใช้บอลยาวสาดไปข้างหน้า กองกลาง และแนวรับ ช้างศึก สามารถเก็บบอลจังหวะ 2 ได้เกือบทั้งหมด

ทีมชาติไทยได้เซตเกมตามถนัด จนคู่ต่อสู้ปั่นป่วน ขณะที่คู่แข่งผ่านครึ่งชั่วโมงแรก ยังแทบไม่มีโอกาสลุ้นยิงตรงกรอบเลยด้วยซ้ำ จังหวะเดียวที่ออสซี่ เข้าทำแบบจะแจ้งนั่นคือช็อตที่พวกเขาตัดบอลจาก สรวิทย์ พานทอง กลางสนาม ก่อนทิ่มเร็วทะลุช่องไปจบที่การทำประตูนั่นแหละ ที่เปลี่ยนทางลมให้พวกเขากลับมาได้

 

สิ่งเดียวที่ออสเตรเลียเป็นต่อ

เหมือนที่ อากิระ นิชิโนะ กล่าวหลังเกม หากพิมพ์แบบไม่อวยชาติอย่างไม่ลืมหูลืมตา สิ่งเดียวที่ ออสเตรเลีย มีเหนือกว่าทีมชาติไทยในเกมนี้คือ สรีระ และ สภาพร่างกาย เกรแฮม อาร์โนลด์ เฮดโค้ชชิงโจ้ มีการโรเตชั่นผู้เล่นจากนัดเสมอ อิรัก หลายตำแหน่ง ขณะที่ไทยใช้ชุดเดิมลงเล่นทั้งหมด

แม้ช่วงแรกเราจะบี้ได้ไม่เป็นรอง ทว่าเวลาผ่านไป ข้อจำกัดทางสรีระ และสภาพร่างกายที่เบียดชนกับคู่แข่งเริ่มส่งผล และนั่นอาจเป็นสิ่งที่พวกเขารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ไม่แปลกที่ครึ่งหลัง ออสเตรเลียจะขยับไลน์แนวรับสูงขึ้น ให้เราเล่นได้ยากกว่าเก่า รวมถึงส่ง อัล ฮัสซัน ตูเร ดาวยิงตัวชูโรงของทีมลงมาเก็บบอล หลังจากพลิกขึ้นนำ ใช้ความเร็วทำลายเกมรับทีมชาติไทย จนหวิดเสียประตูที่ 3 หลายครั้ง

 

คีย์แมนที่หายไป

ทีมชุดนี้นอกจาก ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา, สุภโชค สารชาติ และ ศุภชัย ใจเด็ด ที่เล่นกันด้วยอย่างรู้ใจ สภาวะ 1-1 กล้าลุยกับคู่แข่งได้เสีย แล้ว ยังมี สรวิทย์ พานทอง ที่คอยสวิตช์บอลจากกลางไปหน้า และคอยวิ่งดีเลย์เกม ชนกับแดนกลางคู่แข่งตลอดเวลา

หากแต่ในครึ่งเวลาหลังเมื่อเราเสีย ศุภณัฏฐ์ ไปจากอาการบาดเจ็บ และสภาพขาของ ศุภชัย ที่ถึงขีดสุด รวมถึง สรวิทย์ ที่วิ่งพล่านจนไม่ไหว ทำให้เหลือเพียง สุภโชค กับ อานนท์ ที่พอเก็บบอลสร้างสรรค์เกมในแนวรุก หากแต่อย่างที่บอกไปว่า เมื่อสภาพร่างกายมีขีดจำกัด การชนหรือจะเอาชนะแนวรับ ออสเตรเลีย จึงกลายเป็นเรื่องยาก เมื่อไร้คีย์แมนขับเคลื่อนเกม เลี้ยงกินตัวออสซี่ จึงง่ายขึ้นในการเก็บบอลเซ็ตเพื่อดึงเวลา และแนวรับพวกเขาที่ตลอดครึ่งแรกแทบไม่เติมเกม ก็ดอดขึ้นมาสูงในเกมรุกมากยิ่งขึ้น  

 

ศุภชัย กองหน้าที่ขาดไม่ได้

แม้จะเป็นดาวยิงที่ใช้โอกาสเปลือง และไม่เฉียบคมดังเดิม แต่สิ่งที่อาร์มมี คือสิ่งที่โค้ชฟุตบอลยุคใหม่ต้องการ นั่นคือ การเป็นดาวยิงที่เก็บบอลได้ดีระดับหนึ่ง ถอยต่ำลงเก็บบอลเชื่อมเกมกับเพื่อนได้ ซึ่งตลอดเกมที่อยู่ในสนาม ศุภชัย ถือว่าป่วนแนวรับคู่แข่งได้พอควร

หากแต่หลังจากที่ ศุภชัย ถูกเปลี่ยนออกไป ผู้เล่นที่ลงมาแทบไม่ได้กดดันแนวรับคู่แข่งได้เลย ไม่ว่าจะเป็นจังหวะเชื่อมเกมในแดนหน้า หรือเก็บบอล เอาชนะลูกกลางอากาศ เราฝากบอลขึ้นไปในแดนหน้าไม่ทันไร ออสเตรเลีย ก็สวนกลับมา นั่นเพราะเราเก็บบอลไม่ได้ เมื่อเก็บบอลไม่ได้ก็วิ่งพล่านเพื่อไล่บอล ขณะที่คู่แข่งสามารถครองบอลดึงเกมเล่นตามสไตล์ของตัวเองได้ จนท้ายเกมหลายคนที่วิ่งบี้อยู่ในสนาม ออกอาการ “หมด” ให้เห็นอย่างชัดเจน

 แก้จุดอ่อนก่อนชี้ชะตานัดสุดท้าย

ผู้เขียนเชื่อว่าแมตช์แพ้ ออสเตรเลีย คือบทเรียนชั้นดีของทีมชาติไทย และทำให้ นิชิโนะ เห็นจุดอ่อนของทีมมากขึ้น เมื่อต้องเจอคู่แข่งดีกรีที่สรีระทางร่างกายเหนือกว่า แม้นัดพบกับ อิรัก เราทำได้เพียงเสมอก็น่าจะดีพอผ่านเข้าสู่รอบถัดไปก็ตาม

สิ่งที่ต้องภาวนาคงเป็นขอให้ 2 นักเตะอย่าง ศุภณัฏฐ์ และ ศุภชัย กลับมาฟิตสมบูรณ์ให้ทัน เตรียมความพร้อมให้เต็มที่ และเริ่มทำการบ้านนับหนึ่งใหม่ในเกมสุดท้ายให้ดีที่สุด ถึงตรงนี้ โอกาสในการเข้าสู่รอบถัดไปยังเปิดกว้างสำหรับเรา