เหตุผล 7 ข้อที่หงส์แดงอาจสยายปีกในยุโรปปีนี้
มีอะไรบ้าง เชิญทัศนาพร้อมแบกวิจารณญาณในการไตร่ตรองได้เลยครับ
1) การเอาชนะทีมจากเยอรมันในรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยสกอร์เดียวกันทั้งเหย้า-เยือน
ฤดูกาล 2004-05 ลิเวอร์พูล จับสลากพบกับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ขณะที่ฤดูกาลนี้ก็ได้ดวลกับ อาร์เบ ไลป์ซิก ในรอบเดียวกัน
โดยในปี 2005 ทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ สามารถเอาชนะ เลเวอร์คูเซ่น ด้วยสกอร์ 3-1 ทั้งเหย้าและเยือน ส่วนในปี 2021 นี้ ทีมของ คล็อปป์ ก็สามารถเอาชนะ ไลป์ซิก ไปด้วยสกอร์ 2-0 ทั้งเกมเหย้าและเยือนเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ทั้ง ไบเออร์ และ ไลป์ซิก ยังเป็นทีมที่จบอันดับ 3 บนตารางคะแนนบุนเดสลีกาในฤดูกาลก่อนหน้ามาเหมือนกันอีกด้วย
2) มีโอกาสดวลเชลซีในรอบรองชนะเลิศ
หากย้อนกลับไปดูเส้นทางการคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 ของ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2005 แล้วทาบทับกับในปีนี้ เราจะพบว่านอกจากหงส์แดงได้ต่อกรกับทีมจากเยอรมันในรอบ 16 ทีมเหมือนกันแล้ว ในรอบรองชนะเลิศ หงส์แดงยังมีโอกาสได้ดวลกับ เชลซี เหมือนกันอีกด้วย
หาก ลิเวอร์พูล ผ่าน เรอัล มาดริด ในรอบ 8 ทีมนี้ไปได้ ทีมของ คล็อปป์ ก็จะรอพบผู้ชนะระหว่าง ปอร์โต้ หรือ เชลซี ในรอบรองชนะเลิศ ซึ่งถือเป็นคู่แข่งเดียวกับเมื่อปี 2005 และมีแนวโน้มสูงเลยที่ เชลซี ของ โทมัส ทูเคิ่ล จะผ่าน ปอร์โต้ ไปได้ไม่ยาก
โดย ลิเวอร์พูล กับ เชลซี ปี 2005 นั้น ทัพหงส์แดงสามารถเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์รวม 1-0 จากประตูชัยของ หลุยส์ การ์เซีย ที่ โชเซ่ มูรินโญ่ เรียกมันว่า "ประตูผี" ส่วนปีนี้ถ้าจับพลัดจับผลูมาเจอกันอีกรอบ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีประเด็นอะไรให้พูดถึงหลังจบเกมเหมือนตอนนั้นอีกหรือเปล่า
3) นัดชิงแข่งที่ตุรกี
อีก 1 ความเหมือนโดยบังเอิญก็คือ เกมนัดชิงชนะเลิศในฤดูกาลนี้จะเกิดขึ้นที่ อตาเติร์ก สเตเดี้ยม, อิสตันบูล ประเทศตุรกี ซึ่งเป็นสนามเดียวกับที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 บนเกมที่สุดระทึกและอยู่ในความทรงจำแฟนบอลมาจนทุกวันนี้
ในเกมรอบชิงปี 2005 ลิเวอร์พูล ตามหลัง มิลาน ไกลสุดกู่ถึง 0-3 เมื่อจบครึ่งแรก ก่อนที่จะไล่ตามตีเสมอ 3-3 จาก สตีเว่น เจอร์ราร์ด, วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ และ ชาบี อลอนโซ่ ภายในช่วงเวลาห่างกันแค่ 6 นาที
หงส์แดงคว้าแชมป์ได้จากการยื้อไปถึงช่วงจุดโทษ ซึ่งหลังจบเกมประวัติศาสตร์วันนั้น เต็มไปด้วยเรื่องเล่ามากมายไม่ว่าจะเป็นการที่ ฮามันน์ กระดูกข้อเท้าแตกตั้งแต่ครึ่งหลังแต่กัดฟันเล่นต่อจนจบและไม่บอกใคร เพราะไม่ต้องการให้ทีมตื่นตระหนก, ความร่วมแรงร่วมใจของทีมสตาฟฟ์ที่ส่งซิกให้ ดูเด็ค ตอนดวลจุดโทษ, ลีลาการโยกก่อกวนคนยิงจุดโทษที่ ดูเด็ค บอกว่าได้ไอเดียมาจาก เจมี่ คาราเกอร์ และ บรูซ ก๊อบเบล่าร์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ดูตามสายการจับสลาก หากไปถึงรอบชิงได้จริง ลิเวอร์พูล จะอยู่ในสายของทีมเยือนเหมือนในปี 2005 อีกด้วย
4) รอบ 8 ทีมสุดท้ายไม่มี เมสซี่ กับ โรนัลโด้
นับตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย จะต้องมี ลิโอเนล เมสซี่ หรือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ร่วมโม่แข้งด้วยเสมอ ซึ่งในปีนี้ ทั้ง บาร์เซโลน่า และ ยูเวนตุส ต่างชิงตกรอบกันไปหมดแล้ว ทำให้สถานการณ์ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของปีนี้ จะคล้ายกับปี 2005 อีกเช่นเดียวกัน
ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ในรอบ 8 ทีม ไม่มีโด้ กับ เมสซี่ นั้น ลิเวอร์พูล สามารถทะยานไปจนถึงแชมป์ได้อย่างที่เกริ่นไปแล้วข้างต้น
5) หลุดท็อปโฟร์แต่อาจได้กลับมาเล่นในฐานะแชมป์เก่า
สถานการณ์ตอนปี 2005 ของ ลิเวอร์พูล นั้นคล้ายกับสถานการณ์ในปีนี้แทบทุกอย่าง โดยเมื่อจบฤดูกาลดังกล่าว ทัพหงส์แดงทำได้เพียงแค่อันดับที่ 5 ในตารางพรีเมียร์ลีก ตามหลังอันดับ 4 อย่าง เอฟเวอร์ตัน อยู่ 3 คะแนน แต่ผลพวงจากการเป็นแชมป์ยุโรป จึงทำให้สามารถกลับไปเล่นถ้วยใบนี้ได้ในฐานะแชมป์เก่า
เช่นเดียวกับปีนี้ ที่หงส์แดงอยู่ในอันดับที่ 7 และมีคะแนนตามหลัง เชลซี ซึ่งอยู่อันดับ 4 ถึง 5 คะแนน นั่นจึงทำให้สื่ออังกฤษเห็นพ้องต้องกันว่า หากหงส์แดงคว้าแชมป์ยุโรปได้จริง จะเป็นการซ้ำรอยประวัติศาสตร์ของปี 2005 แทบจะทุกระเบียดนิ้วเลยทีเดียว
6) คนรับกรรมที่ชื่อ เดวิด มอยส์
ต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว ในปี 2005 แม้ว่า เอฟเวอร์ตัน จะคว้าอันดับ 4 และติดอยู่ในพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็จริง แต่เพราะ ลิเวอร์พูล ไปคว้าแชมป์มาได้ จึงทำให้เกิดกรณีพิพาทขึ้นเล็กน้อย จนสุดท้าย เอฟเวอร์ตัน ต้องไปเล่นรอบคัดเลือกรอบที่ 3 ก่อนจะแพ้ บียาร์รีล ทั้งเหย้าและเยือน ตกลงมาเล่นแค่ ยูฟ่า คัพ ในฤดูกาล 2005-06
ส่วนในปีนี้ เวสต์แฮม กำลังมีลุ้นพื้นที่ แชมเปี้ยนส์ ลีก เหมือน เอฟเวอร์ตัน ปี 2005 เลย โดยมีกุนซือเป็นคนเดียวกันนั่นก็คือ เดวิด มอยส์ ครับ
7) แรงจูงใจและศรัทธา
ข้อสุดท้่ายน่าจะสำคัญที่สุด และไม่เกี่ยวข้องกับสถิติหรือทฤษฎีสมคบคิดอะไรทั้งนั้น
ลิเวอร์พูล ในปีนี้ล้วนเจอวิกฤติเยอะแยะมากมาย ทั้งอาการบาดเจ็บที่ยาวเป็นหางว่าว, วีเออาร์ทำพิษในลีก รวมไปถึงความมั่นใจที่หล่นหายเป็นว่าเล่นไปในเกมลีก
ตอนนี้ แชมเปี้ยนส์ ลีก คือถ้วยใบเดียวที่เหลืออยู่ในมือของ ลิเวอร์พูล ครับ และที่ไม่น่าเชื่อก็คือหงส์แดงในถ้วยยุโรปนั้น กลับทำผลงานได้ดีกว่าในเกมลีกชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว 8 นัดในยูซีแอล หงส์แดงยิงได้ถึง 14 เสียแค่ 3 ชนะ 6 เสมอ 1 แพ้ 1 หนำซ้ำยังเคยบุกไปถล่มทีมฟอร์มแรงอย่าง อตาลันต้า มาถึง 5-0 อีกต่างหาก
สมาธิและความมุ่งมั่นทุกอย่าง ผมว่าตอนนี้ ลิเวอร์พูล คงเทมาที่ถ้วยใบนี้กันเต็มสูบ และที่สำคัญคือ คล็อปป์ ต้องการที่จะให้ของขวัญกับแฟนบอล ด้วยถ้วยใบนี้นี่แหละครับ
แม้จะไม่ง่าย แต่มันก็คงไม่ยากเกินไปอย่างแน่นอน.