:::     :::

เหรียญสองด้านกับ "อเล็กซิส ซานเชซ"

วันพุธที่ 24 มกราคม 2561 คอลัมน์ Zero to Hero โดย บังคุง
9,581
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา โลกฟุตบอลเกิดการย้ายตัวสำคัญขึ้น

        "อเล็กซิส ซานเชซ" เปิดตัวภายใต้เครื่องแบบของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยการตัดสินใจย้ายออกจากอาร์เซน่อล มายัง "โรงละครแห่งความฝัน" เป็นการสลับขั้วกับเฮนริค มคิทาร์ยาน

        การย้ายทีมหนนี้ ถือเป็นการเสริมทัพครั้งใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงตลาดฤดูหนาว พร้อมกับเป็นการยื้ออำนาจจากเพื่อนบ้านอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ต้องการดาวเตะทีมชาติชิลี รายนี้เช่นเดียวกัน

        อเล็กซิส ได้รับเสื้อหมายเลข 7 ไปครอบครอง พร้อมกับความคาดหวังจากแฟนบอลว่า จะทำให้เสื้อหมายเลขนี้ กลับมามีมนต์ขลังอีกครั้ง เฉกเช่นจอร์จ เบสต์, ไบรอัน ร็อบสัน, เอริค คันโตน่า, เดวิด เบ็คแฮม และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ เคยทำได้

        หลายคนจับจ้องไปที่จำนวนค่าเหนื่อยที่เขาได้รับ รวมถึงค่าภาพลักษณ์ และโบนัสต่างๆ ทำให้สถาปนาเป็นแข้งที่มีรายรับมากสุดในพรีเมียร์ลีก พร้อมทั้งปรามาสว่า เป็นการย้ายทีมเพื่อกอบโกยเงินเพียงเท่านั้น

        อย่างไรก็ตาม ผู้คนอาจจะยังไม่เคยทราบมาก่อนว่า ก่อนที่เขาจะก้าวมาถึงจุดนี้ ต้องผ่านความยากลำบากมาอย่างมากมาย ทั้งความยากจน, ความอดอยาก และครอบครัวไม่สมบูรณ์แบบ

        ช่วงนี้เราไปดูเรื่องราวน่ารู้ของชายนามว่า "อเล็กซิส ซานเชซ" กันหน่อยดีกว่า ไม่แน่ว่าอ่านจบแล้ว เราอาจเปลี่ยนมุมมองจากความเป็น "คนหน้าเงิน" และหันมามองแง่มุมของเหรียญอีกด้านก็ได้

เด็กบ้านแตก

        อเล็กซิส เกิดที่เมืองโทโคปิญ่า ดินแดนทางตอนเหนือของประเทศชิลี โดยเติบโตมาในครอบครัวฐานะยากจน นอกจากนี้ การที่คุณพ่อทิ้งไปตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาดูโลก ทำให้คุณแม่ต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อเลี้ยงลูกชายคนนี้ ส่งผลให้เขามีความฝันอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เพื่อเป็นหนทางในการพาคุณแม่ และครอบครัว ไปสู่ชีวิตที่สุขสบาย

        เขากล่าวถึงเรื่องนี้ "มันไม่ง่ายเลย กับการหาเงินมาเลี้ยงชีพ ผมเดินไปบอกคุณแม่ว่า -ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับแม่ เดี๋ยวผมจะกลายเป็นนักฟุตบอลอาชีพ และทุกอย่างจะโอเคขึ้น ครอบครัวของเราจะมีเงินทองกันนะ- คุณแม่ถึงกับหัวเราะออกมา"


ทำงานข้างถนน

        จากความยากจน อเล็กซิส ต้องคอยช่วยเหลือตัวเอง และครอบครัว มันทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างรวดเร็ว อาชีพที่เลือกทำในวัยเด็กคือการต่อยมวย, ล้างรถยนต์ และโชว์การตีลังกา เพื่อแลกมากับเศษเงินเล็กๆน้อยๆ นอกจากนี้ เขายังต้องเจอกับความหิวโหยบ่อยๆ จนต้องไปเคาะประตูเพื่อนบ้าน เพื่อขอเศษขนมปังมารับประทาน

        เขากล่าวถึงเรื่องนี้ "สมัยเด็ก ผมต้องทำงานล้างรถ โดยแลกกับเงินเล็กๆน้อยๆ เพื่อนนำมันมาซื้อรองเท้าฟุตบอล ครอบครัวของผมยากจนมาก ดังนั้นฟุตบอลจึงเป็นหนทางของการมีชีวิตรอด หากผมทำตามความฝันนั้นไม่สำเร็จ ผมคงต้องทำงาน 15 ชั่วโมงต่อวันในฐานะคนงานก่อสร้าง กับรายได้แค่พอเลี้ยงปากท้อง ..... ฟุตบอลช่วยชีวิตผมไว้" 

เล่นฟุตบอลเท้าเปล่า

        อเล็กซิส จำเป็นต้องเตะฟุตบอลแบบเท้าเปล่า เนื่องจากครอบครัวไม่มีเงินทุนที่มากพอในการซื้อรองเท้าฟุตบอล นอกจากการได้บาดแผลเป็นประจำแล้ว การเล่นแบบเท้าเปล่า ส่งผลให้เขามีเอกลักษณ์การวิ่งที่ไม่เหมือนใคร เนื่องจากต้องคอยวิ่งหลบหินในวัยเด็กนั่นเอง

        เขากล่าวถึงเรื่องนี้ "การเล่นฟุตบอลแบบเท้าเปล่า ถือเป็นการช่วยเพิ่มพูนสไตล์การเล่นของผม หากพวกคุณจะคอยสังเกตกันแล้วล่ะก็ วิธีการวิ่งของผมจะแตกต่างออกไปอย่างชัดเจน ผมจะชอบเขย่งเท้ากระโดดด้วยเล็กน้อย นั่นเพราะผมต้องหลีกหนีจากก้อนหินนั่นเอง"


รองเท้าฟุตบอลคู่แรกกับ "รีบ็อค"

        เรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อคือ อเล็กซิส เตะฟุตบอลแบบเท้าเปล่าจนถึงช่วงวัยรุ่นเลยทีเดียว โดยรองเท้าสตั๊ดคู่แรกในชีวิตคือยี่ห้อ "รีบ็อค"  มันมาจากความรักของคุณแม่ที่ยอมทำทุกวิถีทาง เพื่อหามันมาให้ลูกชายให้ได้ โดยเป็นการหาผ่านทางการขอรับบริจาคจากนายกเทศมนตรี

        เขากล่าวถึงเรื่องนี้ "ย้อนกลับไปเวลานั้น คุณแม่เห็นนายกเทศมนตรี แถวสนามบอลที่ผมกำลังเล่นอยู่ เลยตัดสินใจเข้าไปถามว่า จะพอมีใครสามารถซื้อรองเท้าฟุตบอลให้ผมได้บ้าง ? กระทั่งคืนหนึ่ง รองเท้าถูกส่งมายังบ้านของผม ด้วยความอนุเคราะห์จากนายกเทศมนตรี"

        "ตอนนั้นผมมีความสุขมากๆ และรู้สึกสนุกกับรองเท้าฟุตบอลคู่แรกในชีวิต ผมจัดการสวมมันทันที และออกไปหวดลูกหนังกับเพื่อนๆ ผมรู้สึกตื่นเต้นมากๆเลยล่ะ ผมสวมมันบนทางเท้าด้วย แม้ว่ารองเท้าจะมีปุ่ม ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเล่นในสนามหญ้าก็ตาม !!!"

รักบ้านเกิด

        อเล็กซิส สามารถเติมเต็มความฝันวัยเยาว์ ด้วยการเป็นนักฟุตบอลอาชีพบนแผ่นดินยุโรปได้เป็นผลสำเร็จ อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยลืมบ้านเกิดเมืองนอน เช่นเหตุการณ์ที่เมืองโทโคปิญ่าประสบเหตุการณ์แผ่นดินไหวในช่วงปี 2007 จนอาคาร และบ้านเรือนได้รับความเสียหายอย่างหนัก

        เขาจัดการต่อสายตรงไปยังประธานาธิบดี เพื่อให้ความช่วยเหลือ และฟื้นฟูบ้านเกิดของเขา กระทั่งปี 2011 เขากลายเป็นนักเตะบาร์เซโลน่า ช่วงเวลาเดียวกันกับเมืองโทโคปิญ่า กำลังก่อสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ ทว่าบรรดาทีมแพทย์ต่างปฏิเสธที่จะมาทำงาน บนดินแดนที่เต็มไปด้วยความยากไร้แห่งนี้ เขาจึงเอ่ยปากชักชวนเพื่อนร่วมทีมบาร์ซ่า อาทิอันเดรส อิเนียสต้า, ชาบี เอร์นานเดซ และเปโดร ให้มาร่วมทำแคมเปญ ขอร้องให้บรรดาทีมแพทย์เหล่านั้นมาทำงานที่บ้านเกิดให้ได้

        เขากล่าวถึงเรื่องนี้ "โทโคปิญ่า คือดินแดนที่ผมเติบโตมา นอกจากนี้ มันยังเป็นสถานที่ที่ผมฝึกฝนการเล่นฟุตบอลอีกด้วย ที่แห่งนี้มีผู้คน และครอบครัว ที่เห็นการเจริญเติบโตของผมเรื่อยมา ผมเป็นหนี้บุญคุณโทโคปิญ่า ผมขอยืนยันว่า ผมยังเป็นคนเดิมเสมอมา"


สร้างสนามฟุตบอลให้เด็กๆ

        เมืองโทโคปิญ่า เต็มไปด้วยความแห้งแล้ง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกลับมรสนามฟุตบอลเขียวขจี 5 สนามเกิดขึ้นมา ผ่านการปูผืนหญ้าเป็นอย่างดี แน่นอนว่า มันเกิดจากการควักเงินส่วนตัวของอเล็กซิส เป็นจำนวนกว่า 160,000 ปอนด์ เพื่อให้บรรดาเด็กๆในย่านนี้ ได้มีพื้นที่แสดงออกในด้านกีฬานั่นเอง

        เขากล่าวถึงเรื่องนี้ "ทุกครั้งที่ผมเริ่มเล่นฟุตบอล มันทำให้ผมลืมปัญหาทุกอย่างไป ตอนที่ผมยังเป็นเด็กตัวเล็ก ไม่มีใครให้ลูกฟุตบอล หรือรองเท้าสตั๊ดแก่ผม ดังนั้นการมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับเด็กๆพร้อมกับการได้เห็นรอยยิ้มของพวกเขา มันก็ทำให้ผมมีความสุขไปด้วย"

ซานตาคลอสแห่งโทโคปิญ่า

        หากโอกาสเอื้ออำนวย อเล็กซิส จะกลับไปยังเมืองโทโคปิญ่า ในช่วงวันคริสต์มาส โดยมีจุดประสงค์สำคัญ เพื่อนำของขวัญปีใหม่ไปแจกชาวบ้าน ทั้งสิ่งของเครื่องใช้, เครื่องนุ่งห่ม และอาหาร นอกจากนี้ ยังมอบของขวัญให้กับเด็กๆ เพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจอีกทางด้วย

        เขากล่าวถึงเรื่องนี้ "เด็กๆอาจเลือกเส้นทางเดินผิด ด้วยการกันไปพึ่งพายาเสพติด และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มันถือเป็นเรื่องที่เลวร้ายสำหรับพวกเขา ผมเป็นคนโชคดี ที่มีโอกาสเดินทางออกมาเล่นฟุตบอลในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ในเมืองเล็กๆยังไม่มีโอกาสเหล่านั้น"

        "ทุกครั้ง, ผมพยายามจัดกิจกรรม และนำของขวัญไปมอบให้กับเด็กๆ ผมเพียงแค่อยากเห็นรอยยิ้ม ปรากฏบนใบหน้าของพวกเขา ผมเชื่อมาเสมอว่า เด็กๆคือสิ่งที่สำคัญมากสุดในโลก พวกเขาเรียนรู้จากผู้ใหญ่ และเป็นเรื่องสำคัญมากว่า ผู้ใหญ่เหล่านั้นต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี"


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด