ซึ่งข่าวนี้ไม่ได้มั่วแต่อย่างใด เพราะมีการเปิดเผยจาก “บิ๊กเสือ” สัมฤทธิ์ ธนะกาญจนสุทธิ์ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของสโมสร “อ็อกฟอร์ด ยูไนเต็ด” ต้นสังกัดจริงของดาวเตะวัย 21 ปี
สาเหตุที่ “เบน เดวิส” ต้องการย้ายทีมเพราะอยากหาโอกาสลงสนามมากขึ้น เพราะเขาได้โอกาสลงสนามเพียงแค่ 64 นาทีเท่านั้นจาก 5 เกมแรก และทั้งหมดมาจากการลงสนามเป็นตัวสำรองทั้งหมด
แต่เมื่อมีข่าวออกไปล่าสุดเจ้าตัวก็มีชื่อเป็น 11 ตัวจริง ในเกมรีโว่ ไทยลีก นัดตกค้าง ที่พบกับ “โปลิศ เทโร เอฟซี”
ซึ่งเขาลงสนามแทน “เนกาบา” กองกลางแซมบ้า ซึ่งตลอดเวลาที่อยู่ในสนามเขาพยายามทำผลงานให้ดีที่สุด เพื่อเอาชนะใจ “สก็อต คูเปอร์” เฮดโค้ช “สิงห์เจ้าท่า” ให้ได้ เพื่อหวังยึดตัวจริงให้ได้ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามการที่ “เบน เดวิส” จะยึดตัวจริงของ “สิงห์เจ้าท่า” คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนักเตะตัวรุกคนอื่นๆ ในทีมต่างทำผลงานได้ดีสม่ำเสมอ
ไม่ว่าจะเป็น “บดินทร์ ผาลา” กับ “ปกรณ์ เปรมภักดิ์” ในตำแหน่งริมเส้นซ้ายและขวา
ขณะที่แผนการเล่นของ “คูเปอร์” ช่วงหลังมักยึดระบบ 4-4-2 คลาสสิก ซึ่งคนที่ยืนคู่กันก็คือ “ธีรศักดิ์ เผยพิมาย” และ “แฮมิลตัน โซอาเรส”
บางครั้ง “คูเปอร์” สลับไปใช้ระบบ 4-2-3-1 ตำแหน่งหน้าต่ำหรือหมายเลข 10 ก็จะหลายเป็น “แฮมิลตัน” ที่คอยลงไปล้วงบอลหรือคอยพักบอลให้ผู้เล่นคนอื่นๆ วิ่งสอดขึ้นไปในพื้นที่อันตรายเพื่อทำประตู
ขณะที่แดนกลางก็ถูกจับจองจาก “ธนบูรณ์ เกษารัตน์” กัปตันทีม ส่วนอีก 1 ที่ว่างก็จะเป็น “เซร์คิโอ ซัวเรส” หรือ “เนเกบา”
รวมทั้ง “ชาริล ชัปปุยส์” คอยสลับกันเล่น หรือเอา “ดาบิด โรเชล่า” ไปเล่นกลางก็มี
ตอนนี้ยิ่ง “วิลเลียม ไวเดอร์เฌอ” ฟิตกลับมาแล้ว ทำให้ตัว “เบน เดวิส” ยากที่จะสอดแทรกเข้าไปอยู่ในไลน์อัพ 11 ตัวจริง
ซึ่งตรงนี้ก็ไม่แปลก เพราะเอาจริงๆ ตัว “เบน เดวิส” เองก็ไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเล่นตำแหน่งไหนได้ดีที่สุด
ยิ่งสถานการณ์ตอนนี้ “อ็อกฟอร์ด ยูไนเต็ด” มีการเปลี่ยนแปลงบอร์ดบริหารด้วยแล้ว เมื่อ “เอริค โธเฮียร์” อดีตประธานสโมสรอินเตอร์ มิลาน และ “อานิน บัคเรีย” สองมหาเศรษฐีทางธุรกิจมีเดีย&เทเลคอม ชาวอินโดนีเซีย ได้ซื้อหุ้นจาก “บิ๊กเสือ”เพิ่มเป็น 51%
ทำให้ทั้ง 2 คู่ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของสโมสรแทน “บิ๊กเสือ” เรียบร้อยแล้ว
นั่นทำให้โอกาสที่จะกลับไป “อ็อกฟอร์ด ยูไนเต็ด” เป็นเรื่องยากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งสัญญาของเขากับทีมจากแดนผู้ดีจะหมดลงหลังจบฤดูกาลนี้แล้ว
ส่งผลให้ “เบน เดวิส” ต้องเร่งพัฒนาฝีเท้า สร้างแรงกระหายออกมาให้ได้มากที่สุด เพื่อยึดตัวจริงในทีม “การท่าเรือ เอฟซี” ให้ได้เป็นอันดับแรก
และเมื่อหมดสัญญาหากเขาจะย้ายไปทีมอื่น ก็คงมีหลายสโมสรสนใจตัวเขามากขึ้น เพราะสโมสรเขาต้องดูผลงานปัจจุบันมากกว่าอดีตที่หอมหวาน
หากทุกอย่างตรงกันข้ามโอกาสที่เขาจะกลายเป็นนักเตะไร้สังกัดในอนาคตก็มีไม่น้อย อย่าลืมว่าปัจจุบันมีนักเตะฝีเท้าฉกาจและอายุน้อยหลายคนพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาเพียบ
ดังนั้นโชคชะตาและเส้นทางลูกหนังของตัวเขา อยู่ที่ 2 เท้าแล้วว่าจะพาไปตกนรกหรือเดินหน้าเพื่อขึ้นสวรรค์ต่อไป
