:::     :::

ยุคทองเบลเยียมสิ้นสุด?

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ตลอดสิบปีที่ผ่านมา "เบลเยียม" ได้รับการยอมรับว่ามีขุมกำลังที่ดีสุดเท่าที่เคยมีมาจนถูกเรียกว่าเป็น "Golden Generation" ที่มีศักยภาพมากพอในการคว้าแชมป์รายการสำคัญ

แต่จนแล้วจนรอดทัพ "ปีศาจแดงแห่งยุโรป" ก็ไม่สามารถไปถึงบัลลังก์แชมป์ใดๆ เช่นเดียวกับผลงานล่าสุดในฟุตบอลโลก 2022 ที่ตกรอบแรกอย่างรวดเร็ว

นั่นจึงเกิดคำถามขึ้นทันทีว่า "ยุคทอง" ของเบลเยียมกำลังผ่านพ้นไปโดยที่ไม่มีความสำเร็จใดๆ จริงหรือ?

วันนี้เราจะมาย้อนดูเส้นทางของทีมชุดดีสุดตลอดกาลตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน

∎∎∎

เบลเยียม ได้รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพงานใหญ่ในศึกยูโร 2000 ร่วมกับ เนเธอร์แลนด์ แต่พวกเขากลับตกรอบแรกจากการแพ้ 2 จาก 3 นัด ทำให้ต้องสังคายนาวงการฟุตบอลกันใหม่อีกครั้ง

การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกภาคส่วน หนึ่งในนั้นคือการสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติที่กรุงบรัสเซลล์ และเปิดหลักสูตรโค้ชที่ได้มาตรฐานของฟีฟ่าทั่วประเทศ

ฟุตบอลในระดับเยาวชนได้รับความเอาใจใส่อย่างจริงจังและเป็นระบบเดียวกัน มีการสร้างลีกเยาวชนในระดับท้องถิ่นตั้งแต่รุ่นอายุ 7 ขวบเพื่อค้นเอาศักยภาพของเด็กที่มีแววออกมาให้ได้มากที่สุด 

ในช่วงปีแรกๆ ยังไร้วี่แววแห่งความสำเร็จ ทีมตกรอบคัดเลือกยูโร 2004 และฟุตบอลโลก 2006 ก่อนแต่งตั้ง มิเชล ซาบล็อง เป็นผู้อำนวยการฟุตบอลในปี 2006 ซึ่งมาพร้อมแผนงานที่ชัดเจนขึ้นโดยเฉพาะการศึกษาความสำเร็จของฟุตบอลเยาวชนในเยอรมนีและเนเธอร์แลนด์

วงการลูกหนังเบลเยียมเริ่มมีแสงสว่างขึ้นเมื่อทีมชุดอายุไม่เกิน 21 ปีที่ประกอบด้วย แว็งซ็องต์ ก็องปานี, โธมัส แฟร์มาเล่น, มารูยาน เฟลไลนี่, ยาน แฟร์ต็องเก้น, เควิน มิรัลลาส และ  อ็องโตนี่ ฟานเดน บอร์เร่ ช่วยกันเข้าถึงรอบตัดเชือกฟุตบอล โอลิมปิก เกมส์ 2008 ที่กรุงปักกิ่ง 

ในปีเดียวกันนี้ นักเตะเบลเยียมหลายคนเริ่มได้โอกาสย้ายไปค้าแข้งในลีกใหญ่ แว็งซ็องต์ ก็องปานี ย้ายสู่ แมนฯ ซิตี้ ก่อนกลายเป็นตำนานของสโมสรในเวลาต่อมา มารูยาน เฟลไลนี่ ย้ายสู่ เอฟเวอร์ตัน ส่วนอีกปีถัดมา โธมัส แฟร์มาเล่น ก็ย้ายจาก อาแจ็กซ์ ไปเล่นให้ อาร์เซน่อล 

สายเลือดใหม่ยังไม่สุกงอมดีพอที่จะผ่านไปเล่นฟุตบอลโลก 2010 และยูโร 2012 แต่ปลดล็อกได้สำเร็จในฟุตบอลโลก 2014 ที่เป็นการลุยทัวร์นาเมนต์ใหญ่ครั้งแรกในรอบ 12 ปี 


ไม่ผ่าน เมสซี่ และทัพฟ้าขาวในฟุตบอลโลก 2014

ฟุตบอลโลก 2014: รอบก่อนรองชนะเลิศ

ทีมชุดนี้มี แว็งซ็องต์ ก็องปานี, โธมัส แฟร์มาเล่น, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลล์, มารูยาน เฟลไลนี่, ยาน แฟร์ต็องเก้น, มุสซ่า เดมเบเล่, อักเซล วิตเซล, เอแด็น อาซาร์, เควิน มิรัลลาส, สตีเฟ่น เดฟูร์, โรเมลู ลูกากู และ ติโบต์ กูร์ตัวส์ เป็นแกนหลัก 

พวกเขาผ่านรอบแรกในฐานะแชมป์กลุ่มที่ไม่แพ้ใครจากการอยู่ร่วมกับ แอลจีเรีย, รัสเซีย และ เกาหลีใต้ ก่อนที่รอบ 16 ทีมสุดท้ายจะเฉือนชนะ สหรัฐฯ 2-1 ในช่วงต่อเวลาจากประตูของ เดอ บรอยน์ และ ลูกากู ทว่าต้องหยุดเส้นทางที่รอบก่อนรองชนะเลิศจากการพ่ายต่อ อาร์เจนตินา 0-1 โดยที่ทัพฟ้าขาวไปต่อจนถึงนัดชิงชนะเลิศ 

ผลงานปีนี้ทำให้ เบลเยียม ขึ้นไปถึงอันดับ 4 ในฟีฟ่าแรงกิ้ง และอีกปีถัดมาก็ไต่ถึงอันดับ 1 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติ

ยูโร 2016: รอบก่อนรองชนะเลิศ

แกนหลักของทีมภายใต้การนำของกุนซือ มาร์ค วิลม็อตต์ ยังเป็นนักเตะจากชุดฟุตบอลโลกที่มีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น เพิ่มเติมด้วย รัดย่า นาอิงโกลัน และ ยานนิค การ์ราสโก้ 

ทีมจบอันดับสองของกลุ่มต่อจาก อิตาลี ก่อนไล่ยำ ฮังการี 4-0 กรุยทางสู่รอบก่อนรองเลิศพบม้ามืดอีกทีมอย่าง เวลส์ ที่มี แกเร็ธ เบล กับ อารอน แรมซีย์ เป็นหัวใจสำคัญ 

เหมือนจะเป็นเกมที่เบลเยียมผ่านได้ไม่ยากเกินไปนักเพราะขึ้นนำตั้งแต่ 13 นาทีแรก แต่กลับต้องช็อกเจอทีเด็ดทัพมังกรแดงรัวแซงชนะไป 3-1 ทำให้จอดป้ายแค่รอบนี้


ฟุตบอลโลก 2018: อันดับ 3

เบลเยียม ยกพลลุยฟุตบอลโลกที่รัสเซียในฐานะหนึ่งในทีมเต็งเพราะขุมกำลังของทีมหลายคนอยู่ในช่วงพีคของอาชีพโดยฉพาะ เควิน เดอ บรอยน์, เอแด็น อาซาร์ และ โรเมลู ลูกากู ขณะที่กุนซือเปลี่ยนจาก วิลม็อตต์ เป็น โรแบร์โต้ มาร์ตีเนซ 

ทีมผ่านรอบแรกได้อย่างไม่มีปัญหาด้วยการชนะรวด 3 นัดเหนือ ปานามา 3-0, ตูนีเซีย 5-2 และเชือด อังกฤษ 1-0 ลูกากู กดไป 4 ประตู 


ชุดนี้จบอันดับ 3 ฟุตบอลโลก 4 ปีก่อน

รอบ 16 ทีมสุดท้ายหืดจับเอาเรื่องในการเจอ ญี่ปุ่น แต่ก็ผ่านไปได้หวุดหวิด 3-2 นาเซอร์ ชาดลี่ ยิงประตูชัยในช่วงทดเจ็บ ก่อนคืนฟอร์มเก่งโค่น บราซิล 2-1 ในรอบก่อนรองชนะเลิศ

เบลเยียม เจอของแข็งอีกทีมอย่าง ฝรั่งเศส ที่มีตัวดีๆ เพียบเช่นกันไม่ว่าจะเป็น คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้, อองตวน กรีซมันน์, ปอล ป็อกบา, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ ราฟาแอล วาราน สุดท้ายเป็น "ตราไก่" เบียดชนะ 1-0 

โรแบร์โต้ มาร์ตีเนซ พาทีมแก้ตัวได้ในนัดชิงอันดับ 3 ที่ย้ำแค้นสิงโตคำราม 2-0 ส่วน ฝรั่งเศส คว้าแชมป์โลกด้วยการชนะ โครเอเชีย 4-2 

ยูโร 2020: รอบก่อนรองชนะเลิศ

ทีมของ โรแบร์โต้ มาร์ตีเนซ ยังถูกมองว่ามีโอกาสคว้าแชมป์รายการนี้ได้เช่นกันเพราะแม้ตัวหลักบางรายอย่าง แว็งซ็องต์ ก็องปานี่ จะเลิกเล่นไปแล้ว แต่คนอื่นยังอยู่กันพร้อมหน้าโดยเฉพาะแนวรุกทั้ง เดอ บรอยน์, อาซาร์ และ ลูกากู บวกเข้ากับสายเลือดใหม่อย่าง ยูริ ตีเลอมันส์ 

เบลเยียม คว้าแชมป์กลุ่มได้ไม่ยากด้วยการคว้า 9 คะแนนเต็มจากการชนะ รัสเซีย 3-0 ต่อด้วยทุบ เดนมาร์ก 2-1 และปิดท้ายอัด ฟินแลนด์ 2-0 จากนั้นโค่นแชมป์เก่าโปรตุเกส 1-0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย 

ทว่ากลับต้องจอดป้ายที่รอบก่อนรองฯ อีกครั้งหลังพ่ายความเก๋าของอิตาลีไป 1-2 ซึ่งขุนพลอัซซูร์รี่ของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ก็ไปจนถึงตำแหน่งแชมป์ด้วยการชนะจุดโทษเจ้าภาพอังกฤษในนัดชิงชนะเลิศ

ฟุตบอลโลก 2022: รอบแรก

ยุค โกลเด้น เจนเนอเรชั่น ของเบลเยียมฮึดอีกเฮือกในฟุตบอลโลกที่กาตาร์ แต่คีย์แมนหลายคนผ่านช่วงดีสุดของตัวเองไปแล้วไม่ว่าจะเป็น เอแด็น อาซาร์, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, ยาน แฟร์ต็องเก้น, อักเซล วิตเซล และ ยานนิค การ์ราสโก้ ขณะที่ โรเมลู ลูกากู ในฐานะดาวซัลโวตลอดกาลก็มาในสภาพไม่ฟิตสมบูรณ์ เควิน เดอ บรอยน์ คนเดียวจึงแบบทีมไม่ไหว 


เอแด็น อาซาร์ อาจโบกมือตามหลัง โรแบร์โต้ มาร์ตีเนซ

นัดแรก มิชี่ บาตชูอายี่ ยิงประตูชัยให้ทีมเฉือนชนะ แคนาดา 1-0 ในเกมที่ ติโบต์ กูร์กตัวส์ ต้องออกแรงเซฟจุดโทษของ อัลฟอนโซ่ เดวิส เอาไว้ด้วย จากนั้นพลาดท่าโดน โมร็อกโก อัดหน้าหงาย 2-0 พร้อมกับข่าวด้านลบนักเตะในทีมกำลังมีปัญหากันเอง 

โอกาสสุดท้ายในเกมกับ โครเอเชีย ที่แย่งกันเข้ารอบ ทั้งสองทีมมีจังหวะลุ้นประตูกันมากมายโดยเฉพาะ เบลเยียม ที่ ลูกากู น่าจะยิงได้ 2-3 ลูกแต่ก็พลาดไปหมด ทำให้จบที่สกอร์ 0-0 ส่งผลให้ตกรอบแรกอย่างชอกช้ำ

∎∎∎ 

5 ทัวร์นาเมนต์ใหญ่ของ เบลเยียม ในยุคที่ดีที่สุดจึงจบลงด้วยการไม่มีแชมป์ใดๆ ติดมือ และด้วยผู้เล่นตัวหลักหลายคนเข้าสู่ช่วงปลายอาชีพก็ยิ่งทำให้เป็นเรื่องยากมากขึ้นในอนาคตข้างหน้า

การเปลี่ยนแปลงแรกของทีมที่เกิดขึ้นแล้วคือ โรแบร์โต้ มาร์ตีเนซ ตัดสินใจวางมือซึ่งตั้งใจเอาไว้แล้วตั้งแต่ก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่ม ขณะที่ผู้เล่นหลายคนก็อาจถึงเวลาโบกมือลาทีมชาติเสียที 

แม้ มาร์ตีเนซ จะให้กำลังใจส่งท้ายว่ายุคทองของเบลเยียมยังไม่สิ้นสุด ผู้เล่นดีๆ พร้อมจะก้าวขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่ที่จากไป แต่จากที่เห็นในนัดสุดท้ายก็ไม่ได้ทำให้หลายคนรู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น ยัง

ผู้เล่นที่ฝีเท้าดีพอมีอยู่บ้าง แต่จะมีสักกี่คนที่จริๆง ที่สามารถแบกทีมได้เหมือนอย่าง เดอ บรอยน์, อาซาร์ และ ลูกากู ทำมาตลอดสิบปีหลังสุด


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด