สโมสรใหญ่กว่านักเตะ แต่นักเตะบางคนก็ควรได้รับความเคารพจากสโมสร
หลายๆคนคงได้เห็นสัมภาษณ์ของอังเดร เอร์เรร่ากันไปแล้วที่ได้มีโอกาสพูดในคอลัมน์ UTD Podcast ถึงเรื่องราวที่ตัวเองไม่ได้อยู่กับทีมต่อในปี 2019 ว่าเรื่องราวเบื้องหลังนั้นมันมาจากการที่สโมสรไม่เหลียวแลที่จะยื่นต่อสัญญาใหม่กับเขาในช่วงเวลาที่สมควร และปล่อยให้สัญญาเขาเข้าสู่ปีสุดท้ายก่อนที่จะหมดระยะเวลา
เมื่อถึงเวลาที่เขาทบทวนอนาคตของตัวเอง เลือกที่จะมูฟออนแล้วนั้น มันก็ช้าเกินไปที่สโมสรจะตัดสินใจอะไรกับเขาอีก
เอร์เรร่าไม่ได้ต้องการที่จะพูดอะไรเพื่อตัวเอง แต่มันก็เป็นหัวข้อการพูดคุยที่อดีตมิดฟิลด์ห้องเครื่องของเรารายนี้เปิดเผยและตอบคำถามในการพูดคุยกันกับคอนเทนต์ของสโมสร ในยามที่ปัจจุบันเอร์เรร่าได้กลับไปค้าแข้งกับแอตเลติก บิลเบา อีกครั้งในวัย 33 ปี
เอร์เรร่าให้สัมภาษณ์โดยสังเขปถึงการออกจากสโมสรดังนี้
"การจะย้ายออกมันเป็นเรื่องที่ยาก เพราะห้าหกเดือนก่อนหน้านั้นผมคาดหวังว่าจะมีการยื่นข้อเสนอให้ผมอยู่ที่นี่ต่อ"
"จริงๆผมไม่อยากจะพูดอะไรแบบนี้ มันไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดอะไรไม่ดีถึงใครทั้งนั้น และผมก็จะไม่ทำแน่ๆ แต่หลังจากฤดูกาลที่สามของผมกับที่นี่ ผมคาดหวังอะไรบางอย่างมากกว่านี้จากสโมสรในช่วงเวลานั้น ผมได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจากการโหวตของแฟนบอล แต่สโมสรเองก็ไม่ได้เรียกผมไปพูดคุยหรือเซ็นสัญญาใหม่ พวกเขากลับมอบให้นักเตะอื่นๆ ยอมรับว่ามันเป็นสิ่งที่ผมเจ็บปวดมากจริงๆ"
"ผมคิดว่าผมเองก็คู่ควรที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้มอบให้ หลังจากนั้นสถานการณ์มันก็เปลี่ยนไปเพราะผมไม่มีความสุขในเรื่องนั้นกับสโมสร ผู้คนต่างๆผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่สโมสรและตราสัญลักษณ์มันจะยังคงอยู่เสมอ เพราะงั้นผมจะตำหนิอะไรสโมสรในเรื่องนี้ทั้งสิ้น เพราะผมรู้สึกขอบคุณมากกว่า"
"แต่มันก็เจ็บนิดๆนะ"
"ปลายฤดูกาลที่สาม สามถ้วย รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี และพวกเขาก็ไม่ได้เรียกอะไรผมไปคุยในช่วงซัมเมอร์ มันทำให้ผมรู้สึกแย่ลงมา ซึ่งตอนที่พวกเขาเรียกไปคือตอนที่สัญญาผมเหลือแค่ปีสุดท้ายแล้ว สิ่งเหล่านี้มันไม่ถูกต้องกับผม ผมสู้เพื่อสโมสรแห่งนี้จนกระทั่งวันสุดท้าย ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น และผมก็เคารพสัญญาฉบับที่ผมมีจนถึงวันสุดท้ายเช่นกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในมุมมองของผมพวกเขาไม่ได้มาในเวลาที่ควรจะเป็น เอเย่นต์และครอบครัวก็เห็นเช่นนั้นเหมือนกัน"
สิ่งที่เราได้เห็นจากเรื่องราวของเอร์เรร่าในครั้งนี้ เชื่อว่าแฟนผีจำนวนมากรู้ดีว่ามันเกิดปัญหาอะไรบ้างที่นี่ ในช่วงยุคมืดที่ผ่านมาซึ่งมีปัญหาในเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรที่ไร้ระเบียบ และไม่มีคนควบคุมดูแลทิศทางใดๆทั้งสิ้น
อำนาจการตัดสินใจทั้งหมดอยู่ที่คนดำเนินการซึ่งเก่งทางด้านตลาด แต่ไม่เคยรับรู้ถึงมิติฟุตบอลใดๆทั้งสิ้นอย่างเอ็ด วู้ดเวิร์ด ที่เรารู้ดีว่าความสามารถเรื่องการหารายได้เข้าสโมสร อยู่ในระดับท็อปของโลก ข้อนี้แฟนบอลรู้ดี
แต่มันคือการใช้งานคนอย่างไม่ถูกต้องมากๆของ "ตระกูลเกลเซอร์" ที่หากว่าให้คนเก่งโคตรๆอย่างเอ็ด วู้ดเวิร์ด ได้ทำงานด้านการตลาด และจัดการเรื่องการหารายได้อย่างเดียว สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจะร่ำรวยมากกว่านี้ในทิศทางที่ถูกต้องและยั่งยืน ด้วยการผนวกเรื่องฟุตบอลและธุรกิจเข้าด้วยกัน
แต่นี่เกลเซอร์คือใช้เอ็ดทำงานควบกะในหน้าที่ที่ตนเองไม่ควรอยู่ เรื่องราวการซื้อและต่อสัญญานักเตะอย่างผิดๆ เช่นแค่เพื่อเหตุผลว่าแค่จะไม่ให้นักเตะเสียฟรีไปเท่านั้นเป็นต้น ทั้งที่นักเตะบางคนไม่ควรได้รับการต่อสัญญายาว จึงทำให้เกิดปัญหาในด้านโครงสร้างทรัพยากรนักเตะของสโมสรอย่างแรงมากๆ จนกลายเป็นปัญหาลากยาวมาจนถึงระยะหลังๆ
ซึ่งโอเล่ กุนนาร์ โซลชาเองก็ต้องมารับ "มรดกพิษ" เหล่านี้ไปด้วย ลากบางส่วนมาจนถึงปีที่เอริค เทน ฮาก เข้ามารับหน้าที่ ก็ยังมีผู้เล่นอีกหลายคนที่จำเป็นต้องโละและจัดสรรให้ถูกจุด
มุมมองในเรื่องนี้มีมากมาย เราไม่มีคำตอบที่ถูกต้องให้กับกรณีของอังเดร เอร์เรร่า ที่หลายๆคนอาจจะมองในอีกด้านหนึ่งที่ตั้งข้อสงสัยว่า เอร์เรร่านั้นมองความสำคัญของตนเองมากเกินไปรึเปล่า จนทำให้เกิด "อีโก้" อะไรบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกว่า สโมสรจะต้องต่อสัญญาให้เขา
พอไม่ได้รับการต่อสัญญาในเวลาที่เหมาะสมอย่างที่ตัวเองต้องการ ก็เลยเลือกที่จะไม่อยู่ต่อ หลังจากที่ช่วงสุดท้ายสโมสรพยายามจะต่อสัญญาเขาในยามที่โซลชาเพิ่งเข้ามา แต่ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว
อาจจะมีความคิดเห็นเช่นนี้ได้เหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ในอีกทางหนึ่งก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับเอร์เรร่าว่า เมื่อต้นสังกัดทรีทคุณอย่างไม่เหมาะสม ไม่เห็นคุณค่าความสำคัญ ทั้งๆที่ตัวเองทุ่มเทอย่างสุดชีวิต แต่กลับไปยื่นสิ่งดีๆให้กับนักเตะคนอื่น หรือเซ็นสัญญาใหม่ๆเข้ามา ทั้งๆที่เขาก็เป็นผู้เล่นที่มีความสำคัญกับทีม
ถามว่าเป็นเรา เราจะอยากอยู่กับองค์กรที่มีการบริหารจัดการแบบไม่มีอนาคต และมองไม่เห็นคุณค่าของคนเก่าที่จงรักภักดีอย่างสุดชีวิตมาตลอด แต่ถูกมองข้ามหัวไปอย่างที่ไม่ให้ความสำคัญเลยแบบนี้หรือไม่?
เข้าภาษิต "คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก" แบบเน้นๆเลยเรื่องนี้
ในฐานะนักฟุตบอลที่เส้นทางอาชีพมันไม่ได้มีเพียงแค่สโมสรแห่งเดียว แล้วมีสัญญาดีๆจากอีกที่เสนอเข้ามา กับอาชีพที่มีระยะเวลาการทำงานที่ค่อนข้างสั้นมากๆ บอกตรงๆว่าถ้าเป็นเรา เป็นเรา เราก็ย้าย
ย้ายทั้งๆที่เจ็บปวดมากๆ เพราะรักมาก และใจจริงไม่ได้อยากย้าย แต่เจอปฏิบัติแบบนี้เรายอมที่จะกลืนเลือดตัวเอง และมูฟออนไปข้างหน้าท่ามกลางความเจ็บปวดดีกว่า
ซีนสำคัญที่เป็นข่าวซึ่งแฟนผีได้เห็นจากรูปข้างบนนี้ก็คือ เมื่อเอร์เรร่าถูกถามว่ารู้สึกยังไงตอนที่ออกจากโอลด์แทรฟฟอร์ดเป็นครั้งสุดท้าย เอร์เรร่าก็พูดถึงรูปถ่ายรูปนั้นที่เขาถ่ายคู่กับลูกสาว เขายังจำได้ดี
และก็เป็นภาพที่แฟนผีจำได้ดี..
สุดท้ายเอร์เรร่าก็เสียน้ำตาออกมาให้เห็น จนต้องพักเบรคการอัดรายการกันชั่วครู่เพื่อให้เขาดีขึ้น ก่อนที่จะมาสัมภาษณ์กันต่อจนเสร็จเรียบร้อย กับพอดแคสต์ตัวเต็มที่จะออกมาให้ได้ฟังและดูกันช่วงอาทิตย์หน้า
ก็ค่อนข้างชัดเจนว่า การย้ายออกจากทีมครั้งนี้มีแต่ความเจ็บปวดล้วนๆ แต่เขาก็จำเป็นต้องไปจริงๆ ซึ่งเราเข้าใจอย่างมาก จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังเสียดายอยู่ที่เอร์เรร่าไม่ได้อยู่กับทีมในช่วงที่เริ่มมีนักเตะดีๆและคู่ควรกับสโมสรแห่งนี้เข้ามา
ลองคิดภาพง่ายๆว่าถ้าเอร์เรร่าได้เล่นร่วมกับบรูโน่ แฟร์นันด์ส / คาวานี่ / วาราน / มาร์ติเนซ ฯลฯ พวกนี้ก็คงจะเป็นภาพที่ดีและประทับใจแฟนบอลไม่น้อย ซึ่งเชื่อว่าเขาจะสร้างผลงานที่ดีออกมาได้แน่ๆ เพราะนักฟุตบอลที่เล่นด้วย Passion และ Loyalty กับสโมสรสูงๆ จากความมุ่งมั่นทุ่มเทส่วนตัวที่มี บวกกับความรักที่มอบให้ต้นสังกัดอย่างเข้มข้น ส่วนใหญ่นักเตะที่เอ่ยชื่อขึ้นมาก็เป็นผู้เล่นระดับท็อปคลาสที่สร้าง Performance ที่ดีอยู่เสมอๆ
บทสัมภาษณ์ของเอร์เรร่าที่มีส่วนหนึ่งออกมาให้เราได้ฟังกันในครั้งนี้ ประเด็นหนึ่งก็คือเอร์เรร่าพูดถึงสิ่งที่คนทั่วไปเข้าใจกันดีว่า สโมสรฟุตบอลไม่ว่าใครจะผ่านมาผ่านไป สโมสรก็ยังจะคงอยู่เสมอ
มันก็จริงอยู่ สโมสรสำคัญที่สุด ใครมาใครไปเราก็ยังซัพพอร์ตสโมสรต่อไป
แต่บางครั้ง "บุคลากร" บางคนก็สมควรที่จะได้รับเกียรติและความเคารพอย่างสูงมากๆจากสโมสรเช่นกัน เพื่อที่จะดึงรั้ง "คุณค่า" ของตัวเขาที่มอบให้ที่แห่งนี้ ให้คงอยู่ต่อไปเพื่อส่งเสริมซึ่งกันและกัน
สิ่งที่แฟนบอลทำได้ในตอนนี้คือ ภาวนาและเคลื่อนไหวกันให้เต็มที่ เพื่อไม่ให้สิ่งนี้ "ซ้ำรอย" ที่เกิดขึ้นมาอีกในยุคที่เอ็ด วู้ดเวิร์ด กุมอำนาจด้านบริหารงานฟุตบอลของสโมสรอยู่ โดยเฉพาะเรื่องของการต่อสัญญา ที่ตอนนี้นักเตะหลายคนก็ยังคงมีประเด็นที่ "สัญญา" ถูกปล่อยให้ยืดยาวมาจนถึงปีสุดท้ายหลายคน ไม่ว่าจะเป็นแรชฟอร์ด หรือ ดาโลต์ก็ตาม ถึงจะบอกว่ามี Option ขยายสัญญาก็ตามที
แต่เราก็อดห่วงไม่ได้ว่ากรณีแบบนี้มันอาจจะเกิดขึ้นได้อีก อย่างเช่น กรณีของดาวิด เดเคอา ที่มีข่าวว่าสโมสรจะไม่ต่อสัญญานั้น น่ากลัวมากๆที่จะซ้ำรอยเอร์เรร่าอีกครั้งจริงๆ ถึงจะพูดเรื่องปรัชญาการเล่นที่อาจไม่เข้ากับสไตล์ของเดเคอาก็ตามที นี่คือนักเตะอีกคนนอกจากเอร์เรร่า ที่สโมสรควรจะ "เคารพ" และหาทางออกดีๆให้พี่เดจริงๆ
ถ้ามัวแต่มั่นใจว่านักเตะจะไม่ย้ายไปไหนแน่ๆ หรือมองข้ามหัวผู้เล่นบางคนที่แบกทีม ทุ่มเทเพื่อทีม และ "คู่ควรกับตราสโมสร" เหมือนอังเดร เอร์เรร่า แล้วเสียเขาออกจากทีมไปอีก มันจะเป็นวิกฤตศรัทธาเล็กๆที่จะทำให้เสถียรภาพในระยะยาวของทีมมีปัญหาแน่นอน เพราะถ้านักเตะคนสำคัญๆเหล่านั้นเกิดปัญหาสมองไหลย้ายออกไปทีมอื่นอีก
เพราะถ้าคุณไม่ป้องกันในเรื่องContractต่างๆเหล่านี้ให้ดีด้วยต่อสัญญาหรือมอบข้อเสนอดีๆให้กับนักเตะที่คู่ควรจะได้รับ อย่างเช่นที่อเลฮันโดร การ์นาโช่ ได้เงินไม่ถึงหมื่นปอนด์ต่อสัปดาห์มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากเกินไปแล้วนั้น มีโอกาสที่จะเสียนักเตะดีๆอย่างเอร์เรร่าไปอีกแน่นอน
นักเตะคนหนึ่งที่หลุดมือออกจากสโมสรไปแล้ว จะคาดหวังให้เขากลับมาง่ายๆอีกครั้งไม่มีทาง บางทีอาจกลับมาด้วยค่าตัวมหาศาลที่ต้องควักไตซื้อ, นักเตะบางคนอาจจะต้องกลับมาในยามที่อายุเยอะแล้ว และไม่ได้อยู่ในร่างPrimeหรือช่วงพีค หรือนักเตะเก่งๆบางคนอาจจะไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย
ในมุมมองส่วนตัวของผู้เขียน เคสของ "อังเดร เอร์เรร่า" คือกรณีที่ผมพอจะพูดได้จริงๆว่ามันเป็นนโยบายที่ผิดพลาดอย่างแรง ที่บริหารจัดการนักเตะได้ไม่ดีเลย กับอีแค่นักเตะที่แฟนบอลก็เห็น ใครๆก็เห็นว่าเขาจงรักภักดีและทุ่มเทเกิน100%ทุกนัดเพื่อทีมขนาดนี้ มันควรจะต้องรีบต่อสัญญาเพื่อซื้อใจ และ ตอบแทนให้กับเขาบ้าง แต่นี่กลับปล่อยให้เวลาล่วงเลยจนนักเตะสูญเสียความเชื่อมั่น และรู้สึกแย่ที่เขาถูกมองข้ามความสำคัญไป
กรณีนี้มันไม่ใช่ประเด็นเรื่อง Emotion แต่อย่างใด มันคือเรื่องของการ "Respect"
นักเตะที่ควรค่าแก่การที่ได้รับความเคารพจากสโมสร คนหนึ่งที่ผมกล้าพูดได้เต็มปากก็คือ Ander Herrera คนนี้นี่แหละ ที่แฟนบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่ควรจะลืมเขาไปตลอดกาล
-ศาลาผี-
Reference