เวลานั้นเองทีมได้มีการชดเชยเงินตามสัญญาของนักเตะที่มีสัญญาไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งติดกับปัจจัยหลายๆ อย่างทำให้ไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ แต่ว่าทีมอคาเดมีที่พวกเขาสร้างขึ้นมาในรุ่น 14 กับ 16 ปี ยังคงเดินหน้ากันต่อเนื่อง เพราะเป็นสิ่งที่ "ช้างป่าห้วยขาแข้ง" คิดว่า เด็กกลุ่มนี้น่าจะเป็นกำลังสำคัญของสโมสรได้ในอนาคตอย่างแน่นอน

และเมื่อทีมต้องเดินหน้าต่อสิทธิ์ในการทำทีมจึงกลับไปอยู่กับผู้บริหารของ แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล เอฟซี อย่าง "บิ๊กพี" อธิปัตย์ นุชนาฎ และมี "คสช" สมชาย มากมูล ก้าวเข้ามาเป็นกุนซือใหม่ของทีม ทว่าผ่านไปแค่เพียง 9 นัดในการลุยลีกพระรอง 

ทุกอย่างของทัพ “ช้างป่าห้วยขาแข้ง” ที่เดินหน้ากันมา เหมือนจะไม่เป็นอย่างที่สมหวังเอาไว้ เพราะทีมเก็บไป 10 คะแนน จากการชนะ 2 เสมอ 4 แพ้ 3 รั้งอันดับ 10 ของตารางในเวลานั้น ประกอบกับช่วงนั้นเริ่มมีข่าวบางอย่าง ที่ปลุกหัวใจให้กับแฟนคลับกลับมาชีวิตชีวาอีกครั้ง

กระทั่ง "บอสเบนซ์" ธนาชัย ปั้นงาม กลับมานั่งตำแหน่งผู้บริหาร หลังจากผลงานของทีมไม่ได้เป็นไปดั่งใจหวัง นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนอีกอย่าง นั่นคือ พวกเขาได้ทำการดัน “โค้ชโด” ภัทรพล นาประเสริฐ กุนซือลูกหม้อผู้ดูแลเยาวชนในช่วงที่ผ่านมา ขึ้นมารับหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอน

หลายคนอาจจะไม่รู้จักชื่อของ “โค้ชโด” มากนัก ซึ่งเขาถือว่าเป็นกุนซือรุ่นใหม่ที่อายุเพิ่งแตะ 30 ปี โดยเข้ามาสู่วงการเริ่มคุมทีม สมาคมกีฬาฟุตบอลชลบุรี เล่นฟุตบอลไทยวูเมนส์ลีก รวมถึงยังเป็นผู้ช่วย “โค้ชก้าง” นฤพล แก่นสน ในการทำทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย

อีกทั้งเขายังจบ เอ ไลเซนส์ ไปแล้วก่อนที่จะเข้ามาอยู่กับ อุทัยธานี เอฟซี ในช่วงลุยไทยลีก 2 ปี 2020 ที่ตกชั้น แต่ว่าเขาเองก็ยังอยู่กับทีม เพื่อทำตามโปรเจคต์ของสโมสรในการหาดาวรุ่งจากทั่วประเทศ แถมยังเดินทางไปคัดด้วยตัวเองยังจังหวัดต่างๆในฤดูกาลที่ผ่านมา 

ขณะเดียวกันยังช่วย "น้าเทิด"เทิดศักดิ์ ใจมั่น กุนซือใหญ่ของทีมในเวลานั้น ป้อนนักเตะจากทีมเยาวชน ขึ้นมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่อยู่เป็นระยะ

ไม่มีเพียงแค่ 2 คนที่กลับมาเท่านั้น แต่ “ผจก.เดย์” วรากรณ์ บีโอนดี ยังคัมแบ็คมาอีกคน แม้ว่าจะอยู่ในตำแหน่งประธานเทคนิคก็ตาม เรียกได้ว่า “ช้างป่าห้วยขาแข้ง” กลับมาอยู่ในการบริหารงานของบอร์ดชุดเดิมแทบเต็มจัว แต่การเปิดตัวเกมแรกก็ไม่ได้เป็นเหมือนฝัน เพราะออกไปแพ้ สุพรรณบุรี เอฟซี 0-1

แต่อีก 7 นัดในเลกแรก ผลงานของ อุทัยธานี เอฟซี กลับดีขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตา ไม่ว่าจะเป็น เสมอ เกษตรศาสตร์ เอฟซี 1-1 (ห), ชนะ ราชประชา 4-1 (ย), แพ้ เชียงใหม่ ยูไนเต็ด 1-2 (ห), เสมอ อยุธยา ยูไนเต็ด 1-1 (ย), ชนะ ตราด เอฟซี 2-0 (ห), ชนะ ชัยนาท ฮอร์นบิล 3-2 (ย) และ ชนะ กรนด์ อันดามัน ระนอง ยูไนเต็ด 6-0 (ห)

เท่ากับว่า 8 นัด ของ “โค้ชโด” พวกเขา ชนะ 4 เสมอ 2 แพ้ 2 โกยมาเป็น 24 แต้มเมื่อจบเลกแรก จากนั้นได้เข้าไปเสริมทัพหลายราย โดยดึง วัชรกรณ์ มะโนวร กับ ณรงค์ จันทร์เสวก มาจาก กระบี่ เอฟซี แถมยังได้ จักรพงษ์ แสนมะฮุง กองหลังดาวรุ่งยืมตัวมาจาก ชลบุรี เอฟซี เพื่อมาเล่นเกมรับกับพี่ชายแท้ๆ ของเขาอย่าง เนติพงษ์ แสนมะฮุง

ส่วนแข้งนอกที่เสริมเข้ามาก็เป็น บรินเนอร์ เอ็นริเก้ ที่เคยพา ลีโอ เชียงราย ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ไทยลีก 2019 , เอฟเอ คัพ 2020/21 และ ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์ คัพ 2020 ตลอดจนบิ๊กดีลของพวกเขาอย่าง สตีเฟ่น ลองจิล แนวรุกชาวมาร์ตีนิกวัย 34 ปี มาเฉิดฉายในแดนสะแกรัง

ทำให้ผลงานเปิดหัวเลกสองมา 4 เกม ชนะ สมุทรปราการซิตี้ 2-1 (ย), เสมอ เชียงใหม่ เอฟซี 1-1 (ย), ชนะ นครปฐม ยูไนเต็ด 3-0 (ย) และ แพ้ กระบี่ เอฟซี 0-3 (ย) มีเพิ่มเป็น 31 คะแนน ซึ่งเวลานี้ อุทัยธานี เอฟซี อยู่ที่ 7 ของตาราง ห่างจากพื้นที่โซนเพลย์ออฟอันดับ 6 อย่าง อยุธยา ยูไนเต็ด แค่ 2 แต้มเท่านั้น

ตามเป้าหมายของ "บอสเบนซ์"ธนาชัย ปั้นงาม ผู้บริหารสโมสรที่วางเอาไว้ คือ จะต้องพาทัพ “ช้างป่า” เกาะกลุ่มเพลย์ออฟเอาไว้ให้ได้ ซึ่งดูแล้วการเชือดเฉือนจากนี้อีก 13 เกมสนุกอย่างแน่นอน 

และด้วยศักยภาพของพวกเขา หลายคนก็เชื่อว่า อุทัยธานี เอฟซี ก็มีโอกาสไม่น้อยที่จะเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดได้เช่นกัน