:::     :::

"Trust the Process"

วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2566 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
2,172
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
สิ่งที่เทน ฮาก สร้างมาตลอดฤดูกาล ไม่ใช่สิ่งที่จะถูกทำลายลงไปได้ง่ายๆจากการพลาด "แพ้" แค่เกมเดียว ถ้าเรา "เชื่อในกระบวนการ" ของการพัฒนาทีมอย่างถูกต้อง มันจะก่อให้เกิดศรัทธาและความเชื่อในทีมเราที่ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ การสะดุดเล็กน้อยไม่ได้ทำให้ทีมเราหยุดเดินหน้าไปได้ เกมชนะเรอัล เบติส 4-1 คือคำตอบของกระบวนการที่ว่านั้น

"ผมคิดว่าเราทำได้ดีทั้งสองครึ่งเลยนะ ครึ่งแรกเราน่าจะนำ 3-0 ด้วยซ้ำแต่สร้างความผิดพลาดไปครั้งหนึ่ง สกอร์เลยเป็น 1-1 เราทำประตูที่ดีหลายๆลูก เรามอบสิ่งดีๆให้แก่แฟนบอลที่สนับสนุนพวกเราอยู่ และพวกเขาก็ส่งมันกลับมาสู่เราเช่นกัน เรารู้สึกขอบคุณมากๆ"

"มันเป็นทัศนคติในการเล่นที่ดีเลย เราครองบอลได้ดี สวิตช์บอล วิ่งทะลุช่อง สร้างสรรค์โอกาสได้มากมาย มันเป็นเรื่องที่ดีเสมอเวลาเห็นทีมมีปฏิกิริยาออกมาเช่นนี้หลังจากที่พ่ายแพ้ มันไม่ใช่ครั้งแรกของซีซั่นที่เราต้องเริ่มต้นกันใหม่และพยายามกลับมาให้ได้อีกครั้ง ทีมนี้มีคาแรคเตอร์ในตัวอยู่ ต้องชื่นชมทีมจริงๆ"

"สำหรับกองหน้าแล้ว(เว็กฮอร์สต์) มันเกือบจะยิงได้หลายต่อหลายครั้ง เขาสร้างสรรค์โอกาส สร้างประตูให้เพื่อน และเขาก็คู่ควรกับประตูที่เขาทำได้สำเร็จแล้ว"

"บรูโน่มหัศจรรย์มาก เขานำทีมด้วยการคุมเกมของทีม ออกบอลให้เพื่อน แล้วก็ทำประตู ผมคิดว่าเขาเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในสนาม เขาแสดงบุคลิกออกมาได้อย่างชัดเจน วันนี้ถอยต่ำลงมาเล็กน้อยเพราะเราขอให้เขาช่วยเล่นอย่างดังกล่าว เขาเป็นผู้นำที่สร้างจังหวะการเล่นให้เกม และออกบอลเจาะช่องสวยๆหลายต่อหลายครั้ง"

"ตัวสำรองก็ลงมาทำเกมได้ดีเลย สองลูกหลังนี่ชัดเจนจนทำให้เราชนะได้ด้วยสกอร์ 4-1"

คำให้สัมภาษณ์หลังเกมของเอริค เทน ฮาก ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ถึงมุมมองหลังเกมที่ปีศาจแดงเปิดบ้านเอาชนะเรอัล เบติส ไปได้ 4-1 หลังจากที่ครึ่งแรกนำเร็วก่อน 1-0 จากมาร์คัส แรชฟอร์ด และก็มีเกมที่ดีในครึ่งแรก แต่ยังไม่สามารถจบสกอร์ขึ้นนำ 2 หรือ 3-0 ได้ แต่พลาดในจังหวะที่โดนอโยเซ่ เปเรซ ยิงประตูได้สำเร็จ

(ซึ่งจริงๆแล้วลูกนี้เบติสไม่ควรได้ด้วยซ้ำ เพราะควรถูกจับแฮนด์บอลก่อน จะมาอ้างว่าตามกฎ บอลโดนแขนโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ตั้งแขนมารอแต่งบอลขนาดนั้น ไม่มีแม้แต่จะเช็คซ้ำ เป็นการตัดสินที่น่าเกลียดมากจริงๆ)

ปัญหาของครึ่งแรกหลักๆคือการครองบอลที่ไม่สมบูรณ์แบบ และไม่ต่อเนื่องของแมนยูไนเต็ดที่ขาดความแน่นอนในการเล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเซ็ตบอลจากแดนหลังด้วยเซ็นเตอร์แบ็คสองคน เจอแทคติกของเรอัล เบติส ดันเกมขึ้นมาสูงเพื่อบีบใส่ 2CB และ GK ของทีมเราอย่างเดเคอา จนมีปัญหาออกบอลไม่ดีหลายครั้ง และมีที่จ่ายพลาดจนเกือบจะเสียประตู แต่ยังดวงดีบอลไปชนโคนเสาเลยรอดไปได้

ชัดเจนว่า แมนยูไนเต็ดแม้จะทำเกมบุกได้ดีแล้ว แต่ขาดความต่อเนื่อง และขึ้นเกมได้ยากมากเวลาเจอคู่แข่งเล่น High Pressing ดันเกมขึ้นมาบีบใส่ Defensive Third ของทีม ถ้าปีหน้าจะปรับปรุงต้องแก้ไขเรื่องนี้ให้ได้โดยเร็ว

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแทคติกที่ทีมขึ้นเกมยากในการใช้แค่เซ็นเตอร์สองคนครองบอล และมีกลางต่ำคือคาเซมิโร่ ลงต่ำมาคนเดียวในลักษณะของแผนที่กลายเป็นกึ่งๆ 4-3-3 โดยปล่อยให้สองมิดฟิลด์สายพลังงานอย่าง เฟร็ด และ บรูโน่ ดันเกมสูง ทำให้การครองบอลขาดความแน่นอน เกมรุกจึงสร้างโอกาสได้ไม่ต่อเนื่อง

สิ่งนี้จะเปลี่ยนไปและเห็นความแตกต่างชัดเจนจากครึ่งหลัง เมื่อสกอร์จบที่การเสมอกัน 1-1 ยูไนเต็ดโดนลูบคมถึงถิ่นอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเทน ฮาก จะมองเห็นชัดเจนและแก้ไขได้ตรงจุดว่าเราขาดอะไร ครึ่งหลังปรับระบบเป็นการยืนหลัง 3 ตัว ถอยแบ็ค 1 ฝั่งลงไปเซ็ตเป็นหลังสามเสมือน เพื่อครองบอลเซ็ตบอล ไม่ให้ได้รับผลจากการโดนบีบสูงเข้าใส่

บวกกับถอยมิดฟิลด์ 1 ใน 2 ตัวบน ไม่ว่าจะบรูโน่ หรือ เฟร็ด ถอยต่ำลงมาเพื่อเป็นตัว receiver ช่วยคาเซมิโร่เซ็ตบอลอีกคน ลักษณะของการยืนมันจึงเป็นการยืนตำแหน่ง 3-2 ที่มีฐานเซ็ตบอลทั้งหมด 5 คน และตัวเล่นด้านบนอย่างปีกหรือแบ็ค ก็พร้อมทะลุทะลวงขึ้นหน้า

เกมรุกครึ่งหลังจึงไหลลื่นจากการที่แมนยูครองบอลได้เสร็จสรรพ เกมเพรสซิ่งทำอะไรเราไม่ได้อีกต่อไป และเมื่อได้ทำเกมบุกต่อเนื่อง ความเฉียบคมของเกมรุกก็เริ่มแผลงฤทธิ์ จากประตูที่ 2, 3 ไปจนถึงการปิดกล่องที่ 4 โดยมีนักเตะที่เป็นศูนย์กลางการเล่นเกมรุกครึ่งหลังอย่าง "บรูโน่ แฟร์นันด์ส" เป็นเพลย์เมคเกอร์คนสำคัญที่เรียกฟอร์มสุดยอดออกมาได้สำเร็จ

จุดที่น่าสนใจคือ ครึ่งแรกกับครึ่งหลัง ฟอร์มนักเตะเราหลายๆคนก็แตกต่างออกไปเช่นกัน ครึ่งแรกเฟร็ดมีปัญหากับการเก็บบอลมากๆทำให้เกมไม่นิ่ง ครึ่งหลังก็มาแก้ตัวได้, อันโทนี่ ครึ่งแรกทำเกมไม่ได้เลยและมีข้อผิดพลาด แต่ครึ่งหลัง เขาคือตัวขึงริมเส้นที่เรียกฟอร์มอันตรายออกมาได้อีกครั้ง

เมื่อมีพื้นที่ มีมุมที่เปิดขึ้น แอนโทนี่ก็ลากบอลเข้ามุมถนัด และปั่นโค้งด้วยท่าไม้ตายเดิมของเขา ที่ดูเหมือนจะธรรมดาๆ แต่หวังผลได้เสมอด้วยการปั่นโค้งเสียบสามเหลี่ยมบนอย่างสวยงาม ผลจากการเก็บบอลครองบอลได้ของทีม เกมรุกจึงเริ่มเข้าเป้ามากขึ้นเรื่อยๆ

ประตู 3-1 เป็นจุดที่น่าสนใจว่า เรื่องแทคติกลูกเซ็ตพีซของทีมตอนนี้ มีส่วนสำคัญในการพังประตูคู่แข่งของเราเยอะมากกว่าแต่ก่อนชนิดที่เรียกว่า "หวังผลได้แน่นอน" ในแต่ละเกม จะมีประตูที่ได้จากเซ็ตพีซเยอะมาก ทั้งคุณภาพการเปิดบอลจากบรูโน่ และ ลุค ชอว์ ดีขึ้นกว่าปีก่อนๆ และตัวเข้าทำในจังหวะเซ็ตพีซ มีหลากหลายกว่าเดิม จนตอนนี้ใครก็สามารถดาหน้าเข้ามายิงได้แล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคาเซมิโร่ หรือลูกนี้ที่บรูโน่วิ่งโฉบมาโหม่งอย่างสวยงาม เป็นลูกโหม่งที่โขกเข้าไปเต็มหัวจนบราโว่ก็ยังเซฟไม่ได้

"พัฒนาการของบรูโน่" .. จะว่าแบบนั้นก็ได้

สิ่งที่ดีคือ หลังจากปลดล็อคประตูขึ้นนำ ครองเกมเสร็จสรรพ และขยี้ต่อในลูกที่ 3 แล้วนั้น ทีมก็ยังคงไม่ผ่อนเกม และดาหน้าบุกต่อไปเพื่อยิงประตูให้มากที่สุด เพราะอย่าลืมว่านี่คือฟุตบอลสองเลก จบ90นาทีไม่ได้แปลว่าเราชนะ เพราะงั้นการยิงประตูเอาไว้ให้ได้มากที่สุด คือการสร้างความได้เปรียบมหาศาลที่จะไปเล่นต่อในอีก 90นาทีที่เหลือของเลกที่สอง

แมนยูบุกต่อเนื่องเพื่อแสดงปฏิกิริยาตอบสนองให้แฟนบอลได้เห็นว่า พวกเขาต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเอง และแก้ตัวต่อแฟนบอลจากเกมที่พ่ายแพ้มาในนัดที่แล้ว เกมนี้นักเตะแมนยูทำได้ดีมากๆ และเกมครึ่งหลังคือสิ่งที่ "แฟนบอลต้องการจะเห็น" เราได้เห็นทุกอย่างจริงๆ ทั้งรูปเกมที่สวยงาม เกมบุกที่สามารถจัดการกับทีมอันดับ 5 ของลาลีกาได้อยู่หมัดจน outclass ในครึ่งหลัง

และความพยายามที่ส่งผลมาจากคาแรคเตอร์ของทีมในวันนี้ ทำสำเร็จจากการปรับเปลี่ยนแผนการเล่น และเปลี่ยนตัวผู้เล่นลงมาในครึ่งหลัง

อารอน วานบิสซาก้า พิสูจน์ตัวเองจนเห็นชัดเจนสุดๆแล้วว่า ฟอร์มของเขาในตอนนี้แข็งแกร่ง แน่นอน และคู่ควรกับการเป็นตัวจริงอย่างมากในตำแหน่งแบ็คขวา

ฟาคุนโด้ เปลลิสตรี เด็กหนุ่มวัย20ต้นๆจากอุรุกวัย ลงสนามมาในฐานะตัวละครลับของทีม เป็นคาเมโอที่เปลี่ยนลงมาแทนปีกขวาตัวหลักอย่างแอนโทนี่ และวาดลวดลายความพริ้วได้อันตรายมากๆในฐานะ Right Winger ของทีม ที่ครองบอล ลากเลื้อย และใช้ความเร็วโจมตีได้ จนกระทั่งเพียงแค่ไม่กี่วินาทีที่เขาลงสนาม ฟาคูได้บอลและลากเลื้อยเอาชนะคู่แข่งไปจนสุดเส้น จนได้เปิดตบเข้ามาถึงแม็คโทมิเนย์ซัดเต็มๆแต่ติดเซฟ บอลมาเข้าทาง "เวาท์ เว็กฮอร์สต์" นักเตะที่ยืนตำแหน่งได้ดีในจุดอันตรายหน้ากรอบเขตโทษ

เมื่อเขาหาตำแหน่งได้ถูกต้อง โอกาสก็จะตามมา และที่เหลือคือการไขว่คว้าของเขาแล้ว ซึ่งในที่สุด เว็กฮอร์สต์ก็ซ้ำเข้าไปเต็มดอกส์ไม่เหลือหลอ กลายเป็นประตูแรกที่โอลด์แทรฟฟอร์ดของเจ้าตัวซึ่งทำได้สำเร็จ และการแสดงอาการดีใจออกมาต่อหน้าแฟนบอลในบ้านของเรา คือคำตอบที่ชัดเจนว่า ชายคนนี้ภูมิใจในการได้มาค้าแข้งอยู่ในถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ดแค่ไหน

เชื่อว่าช็อตระเบิดอารมณ์นี้ทำให้แฟนผีน้ำตาคลอกันหน้าทีวีแน่นอน ผู้เขียนก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะเรารู้ดีว่าเขาพยายามขนาดไหน แม้เว็กฮอร์สต์จะไม่ใช่กองหน้าสาย Goal Machine ที่จะผลิตสกอร์ให้ทีมได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ว่าตั้งแต่เริ่มต้นครึ่งแรกมา ถ้าไม่นับจังหวะจบสกอร์ที่เกิดขึ้น เว็กฮอร์สต์ยังมีส่วนร่วมกับเกมได้ดีมากเหมือนเดิม

วันนี้ฟอร์มที่ดี มาพร้อมกับการผลิตประตูด้วย สำหรับคนเป็นกองหน้า ไม่มีอะไรดีกว่าการที่ได้ลงสนามและทำประตูให้ทีมอีกแล้ว มันจึงเป็นวันที่เว็กฮอร์สต์จะจดจำไปอีกนานแน่นอน


เป็นประตูปิดกล่องเลกแรกให้แมนยูไนเต็ดกุมความได้เปรียบเรอัล เบติส แบบขาดๆ นำห่างสามประตูด้วยสกอร์ 4-1 ใครคิดว่าลูกยิงของเว็กฮอร์สต์มาท้ายเกมแล้วไม่สำคัญ ประตูนี้โคตรสำคัญสำหรับเลกสองจริงๆ เพราะแมนยูปลอดภัยมากๆด้วยสกอร์นี้ และสามารถวางแทคติกมาคุมสถานการณ์ในเกมเยือนเบติสได้สบายๆในสัปดาห์หน้า

ทั้งหมดคือสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นคาแรคเตอร์ที่ "ทีม" ของเราแสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม สมกับที่คาดหวังไว้ว่า เกมนี้พวกเขาจะแสดงให้เห็นแน่นอนว่า ทีมจะไม่มีทางเสียศูนย์ หรือเสียโมเมนตัมความแข็งแกร่งของทีมไปเพราะเกมที่แพ้แค่นัดเดียวเท่านั้น มันคือสิ่งที่แมนยูไนเต็ดสร้างกันมาตลอด 8-9 เดือนตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาล 2022/23

ใช่ว่าเราจะไม่เคยแพ้ การแพ้สองนัดแรก นอนจมกองบ๊วยอยู่ในช่วงต้น เราก็ผ่านมันมาได้อย่างแข็งแกร่งแล้ว

การพ่ายแพ้คู่อริอย่างแมนซิตี้ 6-3 โดนยิงถึง 6 ลูกเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราอีกครั้งในระหว่างเส้นทางที่ผ่านมา แต่หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นแฟนผีก็รู้ๆอยู่

ปีศาจแดงติดเครื่องยาวๆ ชนะรวดและแทบไม่แพ้ใครเลย สร้างโอกาสในการลุ้นแชมป์มากมายด้วยการเข้ารอบลึกๆบอลถ้วย และไล่จากอันดับโหล่ของตาราง มาจนกระทั่งปัจจุบันติดท็อป3ของตาราง แถมยังพอจะมีลุ้นไล่ตามอันดับ 1-2 อยู่เล็กๆด้วย ล่าสุดก็คว้าแชมป์คาราบาวคัพมาสำเร็จ

คำถามคือ สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เป็นภาพลวงตาหรือไม่? 

ไม่ใช่เลย

มันใช้เวลาพอสมควร กว่าที่ทีมจะยกระดับและพัฒนาการเล่นมาจนถึงจุดที่เรา "คว้าแชมป์สำเร็จไป 1 รายการ" ทั้งๆที่เป็นปีแรก ของผู้จัดการคนแรกที่ย้ายเบสการทำงานมาอยู่เกาะอังกฤษอย่างเอริค เทน ฮาก แต่กลับคว้าแชมป์ถ้วยภายในประเทศได้เลยทันที

กว่าจะมาถึงจุดนี้ เราพ่ายแพ้มาแล้ว และเรากลับมาลุกขึ้นยืนหลายต่อหลายครั้ง แถมปัญหารุมเร้ามากมาย ทั้งเรื่องภายนอก และเรื่องภายในระดับที่เป็นการวางระเบิดผ่านการให้สัมภาษณ์ขอซุปเปอร์สตาร์คนเดิมอย่างCR7 เป็นเรื่องหนักหนาที่เอริค เทน ฮาก เจอโจทย์หินตั้งแต่รับงานปีแรกเลยจริงๆ

ขนาดแฟนบอลอย่างเรายังไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้ ใครจะไปเดาได้

เท่านั้นยังไม่พอ โปรแกรมที่บีบกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ 4 รายการเตะอาทิตย์ละ 2 วันแบบนี้ week in-week out แบบไม่พักมาหลายเดือนติดต่อกันตั้งแต่หลังฟุตบอลโลกจบ

แต่นักเตะแมนยูไนเต็ดสามารถเก็บผลการแข่งขันที่ดีโดย "มาตรฐานทีม" ไม่ตกเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเอาชนะโปรแกรมสุดโหดที่เตะติดๆกัน ในนัดชิงคาราบาวคัพ และเกมยูโรปาลีกรอบน็อคเอ้าท์ที่ต้องเจอกับระดับจ่าฝูงลาลีกาอย่าง บาร์เซโลน่า ก็ชนะมาได้สองนัดติดแบบเท่ๆ

คุณคิดหรือว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ทำได้ง่ายๆเพียงแค่กระดิกนิ้วกริ๊กเดียวแล้วเสร็จเรียบร้อย? เปล่าเลย

ทุกอย่างเกิดขึ้นมาจาก "กระบวนการ" (Process) การพัฒนาทีม การทำทีมของเอริค เทน ฮาก ที่ค่อยๆทำมาเรื่อยๆทีละนิด ด้วยการใช้ "เวลา" เกือบๆ 10 เดือน กว่าที่ทุกอย่างเริ่มจะตกตะกอน และกลั่นออกมาเป็น "มาตรฐานการเล่นที่แน่นอน" ของทีมเราซึ่งโชว์ผลงานได้คงที่ และยอดเยี่ยมมากเช่นตอนนี้

คำว่า "คงที่" ไม่ได้แปลว่า ไม่แพ้ใครเลย แต่มันคือ "เสถียรภาพของมาตรฐานในการเล่น"

อย่างน้อยๆเราก็เซ็ตสแตนด์ดาร์ดเอาไว้แล้วว่า แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแม้อาจจะแกว่งบ้าง แต่ถ้าเราปรับแทคติกได้ถูกต้องเหมาะสม ไม่ว่าคู่ต่อสู้ทีมไหนเราก็สามารถชนะได้ทั้งสิ้น

ข้อนี้ไม่ได้เป็นการคิดไปเอง ในเมื่อทีมระดับแมนซิตี้ หรือ บาร์เซโลน่า เราก็ชนะมาให้เห็นแล้ว มันจึงเป็นคำตอบว่า ถ้าในวันที่เราทำได้ตามที่วางเกมแพลนมาอย่างถูกต้อง ยูไนเต็ดมีศักยภาพสูงพอที่จะปราบทีมระดับแนวหน้าได้

ที่สำคัญคือ การ "ตบเด็ก" หรือศัพท์เป็นทางการคือการเอาชนะทีมระดับกลางๆ เล็กๆ ได้อย่างแน่นอน และ "ชัวร์" กว่าแต่ก่อน นี่คือโมเมนตัมของทีมที่เราสร้างขึ้นมาได้สม่ำเสมอมากขึ้นเรื่อยๆ

การเก็บชัยชนะให้ได้ต่อเนื่องและบ่อยครั้ง เป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการที่ทีมจะจำเป็นต้องชนะทีมใหญ่ๆ ข้อนี้ไม่จริงเลย เพราะในยุคป๋าก็มีออกบ่อยครั้งที่ทีมแพ้คู่ปรับเราอย่างเชลซี แมนซิตี้ ลิเวอร์พูล อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว

การแพ้ทีมคู่อริมันไม่ใช่ว่าเพิ่งเคยเกิดขึ้น!!! สมัยก่อนปีศาจแดงประสบความสำเร็จมากมาย คว้าแชมป์ถ้วยแล้วถ้วยเล่า บนความพ่ายแพ้ที่ระหว่างฤดูกาล เราเจอคู่อริอย่างลิเวอร์พูล ปราบทีมเราได้ทั้งเกมเหย้าเกมเยือน 2 นัดก็มีให้เห็นบ่อยๆ

สมัยก่อนเค้าเรียกกันว่า "เหย้า-เยือนคัพ" นั่นแหละ ถ้าใครเป็นแฟนบอลยุคนั้นคงจำกันได้ คู่อริเราชนะเราอยู่เป็นประจำ มันไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย

แต่คำถามคือ มีแฟนบอลที่ไหนจำได้ไหมว่า พวกเขาได้ "เหย้า-เยือนคัพ" กับเราปีไหนบ้าง? ไม่มีใครจำ เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่แฟนบอลจะจำคือ "แชมป์" เท่านั้นที่เราทำได้

การสะดุดระหว่างฤดูกาล การแพ้ทีมคู่อริ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่เวลาแพ้แล้วสำคัญคือ ถ้าทีมไม่ยุบ และเราสามารถกลับมาคว้าชัยชนะต่อในนัดอื่นๆได้ การแพ้เพียงไม่กี่นัดที่ว่า ก็ไม่มีความสำคัญมากไปกว่าเกมหนึ่งเกม ที่มีราคาเพียงแค่ 3 แต้มเท่านั้น

และนักฟุตบอลเขาไม่มีใครมาพิรี้พิไรกับเกมที่จบไปแล้วหรอก มีแต่เขาจะแก้ตัวใหม่ และมองไปยังเกมต่อไปข้างหน้าเท่านั้น

ดังนั้น หลังจากที่ยูไนเต็ดแพ้ลิเวอร์พูลไปในเกมก่อน แต่นัดนี้กลับมาแก้ตัวได้อย่างสวยงามมากๆ ขอให้แฟนบอลรู้ไว้เลยว่า นี่แหละคือการ "เข้าเบรค" ของแมนยูไนเต็ดที่จะไม่มีอะไรมาหยุดได้ เพราะจังหวะของการเอาชัยชนะมาจากคู่แข่ง เราได้ทำให้ทีมสามารถสร้างขึ้นมาได้บ่อยครั้งอย่างสม่ำเสมอและแน่นอนแล้ว ผ่านระยะเวลาที่เราค่อยๆปรับปรุงทีมมาเรื่อยๆ

จนมาถึงตอนนี้ แม้จะโดนยิงประตูไปมากมายในหนึ่งนัด แต่เกมต่อมาเราก็กลับมาชนะได้แบบไม่มีอะไรที่บ่งบอกเลยว่า เรามีปัญหามาจากเกมที่แล้ว การยิงได้ 4 ประตูก็คงเป็นคำตอบของตัวตนและคาแรคเตอร์ทีมเราแล้วว่า เราอยากแสดงให้แฟนบอลเห็นว่า เรามีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความพ่ายแพ้ด้วยการ คว้าชัยชนะที่สวยงามกลับมาให้แฟนบอลได้เหมือนเดิม

เหมือนที่ผ่านๆมาในฤดูกาลนี้ตั้งแต่ต้นที่เรากลับมาได้ด้วยเกมที่ต้องเจอกับทีมคู่อริ และใครๆก็คิดว่าเราคงไม่รอด แต่เราก็เข้าเบรคยาวๆมาจนถึงตอนนี้

"การสะดุด ไม่นับเป็นความล้มเหลว" ความล้มเหลวที่แท้จริงคือแพ้แล้วไม่เดินต่อต่างหาก คืนนี้ แมนยูพิสูจน์แล้วว่า มันไม่ได้สะเทือนอะไรของเราเลย ไม่ว่าจะเป็นทีมนักเตะ สตาฟฟ์โค้ช

หรือแฟนบอล

ไอ้ที่หยิบเลข 7 มาล้อๆเล่นๆกันอยู่นี้ บอกตรงๆว่ามันทำอะไรแฟนบอลเราไม่ได้แล้ว อย่างมากก็แค่ "รำคาญ" แค่นั้น ความพ่ายแพ้ที่ผ่านมา มันแสดงคลาสของแฟนบอลทีมเราเองด้วยว่า เราอยู่เคียงข้างทีมเสมอ และแค่นี้มันทำอะไรเราไม่ได้ทั้งนั้น

ทุกอย่าง มาจากกระบวนการที่เอริค เทน ฮาก สร้างทีมของเรามาเรื่อยๆ จนเกิดสิ่งที่เรียกว่า ความสม่ำเสมอของฟอร์มและมาตรฐานการเล่น

ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ "ศรัทธา"

ก่อนเกมนัดนี้ ส่วนตัวผู้เขียนทายสกอร์เอาไว้ 4-0 ด้วยเหตุผลเดียวเลยก็คือ เรา "เชื่อมั่นในกระบวนการ" การทำงานของเอริค เทน ฮาก ที่สร้างทีมมาอย่างถูกต้อง ในทิศทางที่ถูกที่ควร

จนกระทั่งถึงตอนนี้ เราเชื่อมั่นว่า มาตรฐานของทีม ดีพอที่จะสามารถเก็บผลการแข่งขันดีๆได้อย่างสม่ำเสมอ

ด้วยคุณภาพการเล่น เราไม่เชื่อว่าทีมอันดับ 5 ของลาลีกาจะต้านทานเราอยู่แล้ว นั่นคือประการแรก จากเหตุผลเรื่อง Standard ที่เทน ฮาก เซ็ตไว้ ทำให้เรามองเห็นความแตกต่างระหว่าง แมนยู กับ เรอัล เบติส อย่างชัดเจน เราอาจจะให้สกอร์เอาไว้สัก 2-0 หรือ 3-1

แต่การทายเอาไว้ 4 ลูก มันมาจากสิ่งที่เทน ฮาก พัฒนา "ตัวตนของทีม" ขึ้นมาจนทำให้แฟนบอลสัมผัสได้ว่า ทีมเรามีคาแรคเตอร์ที่แข็งแกร่ง นักเตะหลายๆคนที่นำเข้ามา มีบุคลิกที่กร้าวแกร่งมากๆ โดยเฉพาะคาเซมิโร่ กับ ลิซานโดร มาร์ติเนซ รวมถึงความใจสู้ของ แอนโทนี่ นักเตะที่ใครหลายๆคนยังสบประมาทอยู่จนถึงตอนนี้ แต่เขามีดีกว่าที่เห็นตาเปล่าเยอะ ถ้าพิจารณาประโยชน์ในการเล่นให้ถูกต้องจริงๆ

คาแรคเตอร์นักเตะเหล่านี้ที่นำเข้ามาจากเทน ฮาก แข็งแกร่งมาก มันทำให้นักเตะที่อยู่มาก่อนหลายๆคนอย่าง ดาโลต์ บรูโน่ แรชฟอร์ด วานบิสซาก้า ฯลฯ พวกนี้ยกระดับความแข็งแกร่งทางจิตใจขึ้นไปด้วย

นี่คือตัวตนของทีม ดังนั้น เมื่อเราพ่ายแพ้ย่อยยับมาเกมก่อน เราถึงได้มั่นใจ และคิดว่า ด้วยมาตรฐานของทีม บวกกับแรงใจที่ทีมจะใส่ลงไปเกินร้อยในเกมนัดนี้ อย่างต่ำๆมันต้องมี 4 ประตูแน่

และมันก็เป็นจริง ทีมทำได้อย่างที่มันควรจะเป็น ซึ่งจริงๆแล้วควรได้เยอะกว่านี้ด้วยซ้ำถ้าคมๆสักหน่อย โดยเฉพาะลูกหลุดเดี่ยวของอันโทนี่ ที่ถ้าเป็นคนเล่นฟุตบอลควรจะต้องเข้าใจว่า จังหวะแบบนี้มันมีช่องให้ยิงได้ เขาก็ลองยิงเอง ถึงแม้ว่าคนดูแบบเราจะมองเห็นว่า จังหวะมันน่าจ่าย แต่สำหรับสถานการณ์ในสนามจริงๆ นักเตะถ้ามันมีช่องให้ยิงได้ ลองยิงดูก็ถูกแล้ว จังหวะนี้คืออีกหนึ่งลูกที่แมนยูน่าได้เพิ่ม รวมถึงอีกหลายช็อตของเว็กฮอร์สต์ในครึ่งแรกด้วย

ความมั่นใจตรงนี้ มาจากความ "เชื่อมั่นในกระบวนการ" ที่เทน ฮาก สร้างเอาไว้ได้สำเร็จในเบื้องต้นของปีแรก

"กระบวนการ" ที่ว่านี้คืออะไร ถ้าจะให้พูดเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนก็คือ การทำทีมอย่างเป็นระบบ มีวิธีคิด มีหลักการที่ชัดเจน เราพอจะจำแนกออกมาให้เห็นแค่คร่าวๆได้ดังนี้

1. "รูปแบบและปรัชญาที่ชัดเจนและแน่นอน" การสร้างทีมที่นำโดยพื้นฐานความคิด และวิธีการของเอริค เทน ฮาก

2. "ประสบการณ์ของทีม" การเล่นที่ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆเมื่อผ่านรูทีนการลงสนามซ้ำแล้วซ้ำอีก จนสร้างmuscle memory สร้างความเข้าใจในการเล่นร่วมกันของทั้งทีม

3. "แก้ไขข้อบกพร่อง" ปรับแต่งทีม พิจารณาจุดแข็งจุดอ่อน ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทาง สิ่งที่ต้องแก้ไขปรับปรุง เพราะกระบวนการไม่ได้มีแค่ชัยชนะ ความพ่ายแพ้ก็ช่วยปรับปรุงทีมได้เช่นกัน

4. "นโยบายการทำทีม" การวางแผนระยะยาว การเสริมทัพเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ทีม เติมเต็มส่วนที่ขาด

5. "การพัฒนานักเตะ" ปรับปรุงทรัพยากรที่มีอยู่ ปั้นและดึงนักเตะจากอะคาเดมี่ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่อย่างถูกต้อง เหมาะสม

นี่เป็นเพียงแค่การยกตัวอย่างมาบางส่วนเท่านั้น เพราะ Process ยังมีเรื่องอื่นอีกมากมาย

เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าแมนยูไนเต็ดยังสามารถรักษาฟอร์ม และเสถียรภาพในการเล่นเอาไว้ได้สม่ำเสมอแบบนี้ มันทำให้เราเชื่อมั่นว่า ในรายการที่เหลือ ภาพรวมของแต่ละรายการ เราจะต้องทำได้ดีแน่ๆ

ผู้เขียนไม่บังอาจกล้าพูดว่า ทีมเราจะมีลุ้นแชมป์อีก 2 แชมป์ในฟุตบอลถ้วยที่เหลือ แต่อย่างน้อยๆการเข้ารอบลึกๆ เป็นสิ่งที่คาดหวังและเราอาจจะลุ้นได้เต็มที่แน่นอน

เอฟเอคัพเหลืออีกแค่ 3 นัดจะขึ้นไปสู่บัลลังก์แชมป์ ส่วน ยูโรปาลีก ขาข้างหนึ่งแย่ไปยังรอบ 8 ทีมสุดท้ายแล้ว เหลืออีกแค่ 6 เกม ถ้าทำได้ก็มีสิทธิ์คว้าแชมป์ยุโรปถ้วยรอง ล้างฝันร้ายยุคOGSได้อีกหนึ่งประเด็น

เกมลีกอีก 13 นัดที่เหลือ ถ้ายังรักษามาตรฐานได้แบบนี้ เกมยากๆของเราแทบจะไม่เหลือแล้ว โอกาสที่จะ "เข้าเบรคยาวๆ" อีกครั้งมีสูงมาก ผู้เขียนเชื่อว่าทีมเราจะทำได้ และเราจะกดดันข้างบนต่อไปได้เรื่อยๆ ถึงอาจจะไม่ได้ลุ้นแชมป์ แต่แมนยูจะเก็บแต้มได้อีกเป็นกอบเป็นกำ ในล็อตสุดท้ายช่วงสิบกว่าเกมที่เหลือของซีซั่นนี้แน่นอน

เพราะเราเชื่อในมาตรฐานที่ผ่านมา ในเมื่อสร้างเอาไว้สำเร็จแล้ว ใยช่วงที่เหลือของปีนี้ทำไมเราจะทำไม่ได้ล่ะ?

เพราะรู้ว่าทีมทำได้ มันทำให้เราพอจะมองเห็นภาพของฤดูกาลนี้ว่า มันจะประสบความสำเร็จเกินความคาดหมายของแฟนผีอีกแน่นอน เราเชื่อ

และเพราะรู้ว่าทีมเรามีจิตใจที่แข็งแกร่งจริงๆ ไม่ว่าอะไรต่อจากนี้เราจะรับมือมันได้แน่ ทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นจะเป็นบทเรียนที่ทำให้เราอยู่กับความเป็นจริง และโชว์ฟอร์มอย่างเต็มที่อีกครั้ง

การสะดุดแพ้ไม่ใช่สิ่งที่แย่เสมอไป แต่ถ้าสังเกตดีๆ ความพ่ายแพ้มันก็อยู่ใน "กระบวนการพัฒนาที่ผ่านมา" ของฤดูกาลนี้เหมือนกัน ที่แมนยูก็ใช่ว่าจะไม่เคยแพ้ใครมาซะหน่อย แต่พอเราแพ้แล้ว เรากลับมาอย่างแข็งแกร่งเสมอ เหมือนชาวไซย่าที่พอผ่านความตายมาแล้วก็จะแข็งแกร่งยิ่งๆขึ้นไป

ทุกอย่าง อยู่ในกระบวนการทั้งสิ้น ไม่ว่าจะชัยชนะ การฝึกซ้อม การสร้างทีมผ่านรูทีนการลงเล่นต่อเนื่องกัน ถ้าเราเชื่อในกระบวนการ เราก็ต้องเชื่อว่า "แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจะต้องประสบความสำเร็จมากกว่านี้ได้แน่นอน"

ชัยชนะวันนี้คือสิ่งที่ตอกย้ำว่า กระบวนการมันถูกต้อง และกำลังไปสู่ทิศทางที่ควรจะเป็นแล้ว ไม่งั้นเราคงไม่สามารถคว้าชัยชนะเกมนี้

เพราะเราเชื่อและศรัทธาในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ชัยชนะจึงเป็นคำตอบที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมอบให้กับเรา

Trust the Process

#BELIEVE

-ศาลาผี-


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด