:::     :::

ปักหมุดฟุตบอลยุโรปกับ "คาเซมิโร่"

วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2566 คอลัมน์ Zero to Hero โดย บังคุง
2,426
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
กลายเป็นขวัญใจแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

สำหรับ คาเซมิโร่ ที่ย้ายจากเรอัล มาดริด มาร่วมทีม “ปีศาจแดง” ในช่วงตลาดซื้อขายซัมเมอร์ที่ผ่านมา นอกจากการเข้ามายกระดับคุณภาพในแดนกลางแล้ว เขายังมาพร้อมกับจิตวิญญาณแห่งผู้ชนะ ซึ่งเป็นสิ่งที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขาดหายไปในช่วงหลังๆ 


กระนั้น เส้นทางลูกหนังที่แสนสำคัญของคาเซมิโร่ ถือว่าเกิดขึ้นในถิ่นซานติอาโก้ เบอนาเบว ที่หล่อหลอมให้เขากลายเป็นกองกลางตัวตัดเกมระดับโลกเหมือนทุกวันนี้ 


ช่วงนี้ เราลองย้อนกลับไปดูช่วงเริ่มแรกกับเรอัล มาดริด ของเขากันหน่อย ลองดูกันว่า เขาต้องฝ่าฟันกับอะไรมาบ้าง และอะไรคือจุดเปลี่ยนสำคัญในการที่เขาสามารถก้าวมาเป็นตัวหลักของพลพรรค “ราชันชุดขาว” เป็นผลสำเร็จ

“ซานติอาโก้ เบอนาเบว จะหลงรักนาย”


คาเซมิโร่ ย้อนความทรงจำ ถึงวันที่เขาเป็นนักเตะทีมสำรองของเรอัล มาดริด วันหนึ่ง ทีมชุดใหญ่โทรเข้ามา ปลายสายแจ้งว่าเขาจะได้มีส่วนร่วม 


คำพูดเหล่านั้น ทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มวัย 21 ปีพองโต เพราะกุนซือ และนักเตะระดับโลก กำลังเฝ้ารอให้เขาไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์


“โค้ชของเรอัล มาดริด กาสติญ่า โทรมาหาผม และบอกว่า ทีมชุดใหญ่ต้องการใครสักคน และผมจะได้รับโอกาสไปฝึกซ้อม” คาเซมิโร่ เริ่มเล่า 


“ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะผู้จัดการทีมอย่างโชเซ่ มูรินโญ่ เป็นคนตัดสินใจ ผมเริ่มฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่ ผมพบว่ามันเหมาะกับสไตล์การเล่นของผม ผมต้องอดทนมากขึ้น และใช้ความคิดมากขึ้น ผมทำได้ดีในการฝึกซ้อม”


กระทั่งลาลีกา นัดที่ 32 ประจำฤดูกาล 2012-13 ไมเคิ่ล เอสเซียง มีอาการบาดเจ็บ ขณะที่ซามี่ เคดิร่า กับชาบี อลอนโซ่ ถูกพักเอาไว้ เพื่อลงเล่นในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ช่วงกลางสัปดาห์ ทำให้เขาถูกเลือกมาติดทีม แถมเป็นการเป็นตัวจริงกับ “ราชันชุดขาว” เป็นครั้งแรกในชีวิตอีกด้วย 

ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทีมที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์ ทำให้เขาเกิดความประหม่าอย่างรุนแรง โดยคนที่ช่วยประคับประคองในช่วงแรก นั่นคือรุ่นพี่ทีมชาติบราซิล อย่างกาก้า 


เขากล่าวว่า “กาก้า ช่วยเหลือผมได้มาก เมื่อถูกเรียกตัวมาติดทีมชุดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ผมไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร กาก้า บอกกับผมว่าให้มาอยู่กับเขาได้ที่โรงแรมของทีม“


“วันแข่งขัน ผมคิดว่าตัวเองจะได้รับโอกาสลงสนามราว 5 นาที ทีมอาจส่งผมลงไปประเดิมสนามแบบไม่เต็มเกม แต่สิ่งเหล่านั้นไม่เกิดขึ้น !!! มูรินโญ่ พูดกับกับทีมเล็กน้อย ในช่วงรับประทานอาหารกลางวัน เขาบอกกับผมว่า อยากให้ผมตามไปที่ห้องของเขาหน่อย ผมสงสัยว่า เขาอยากจะพูดอะไรกับผมกันแน่ ?”


“มูรินโญ่ พูดกับผมว่า -ฉันรู้จักนายดี นายลงเล่นให้กับเซา เปาโล มากกว่า 100 เกม- จากนั้น ผมเหลือบไปเห็นกระดานที่วางแท็คติก ปรากฏชื่อของผมอยู่ใน 11 ผู้เล่นตัวจริง !!!”


“มูรินโญ่ ชี้ไปที่นั่น พร้อมกับพูดว่า -นายจะได้เล่นเป็นตัวจริง- ผมแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาเลย ก่อนที่ผู้จัดการทีมจะเสริมว่า -ถูกต้องแล้ว ฉันเห็นว่านายเล่นมาเยอะแล้ว นายเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยม ฉันอยากให้นายผ่อนคลาย เมื่อนายได้บอล จงทำให้เต็มที่ ท้ายที่สุดแล้ว ซานติอาโก้ เบอนาเบว จะหลงรักนาย-” 

จากวันนั้น กาลเวลา 10 ปีเต็ม เปลี่ยนดาวรุ่งธรรมดา กลายมาเป็นฟันเฟืองสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสร ผ่านแชมป์รายการสำคัญ


อย่างลาลีกา 3 สมัย, โกปา เดล เรย์ 1 สมัย, ซูเปอร์ โกปา 3 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 5 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 3 สมัย และสโมสรโลก 3 สมัย 


“ซานติอาโก้ เบอนาเบว จะหลงรักนาย” คำพูดของมูรินโญ่ ที่เขาไม่เคยลืมเลือน คำพูดที่คอยย้ำเตือนว่า มันต้องแลกมากับทุกหยาดเหงื่อ ที่เขาทำเพื่อสโมสรที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ 

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด