:::     :::

'แม็ค' ช่วยได้...

วันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2566 คอลัมน์ ในกะลาครอบ โดย พาสต้า
564
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
กองกลาง ลิเวอร์พูล ได้รับการกล่าวขานว่ามีปัญหามาสักพักใหญ่แล้ว และก็ถูกมองว่าเป็นสาเหตุในความตกต่ำของพวกเขา การยกเครื่องใหม่จึงเป็นทางออกของปัญหา ดังนั้นการได้มาของ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์

มิดฟิลด์วัย 24 ปี โชว์ฟอร์มเตะตาผู้คนทั่วโลกในทัวร์นาเมนต์ชูถ้วยแชมป์ที่กาตาร์ และที่ผ่านมาเขาก็ได้พิสูจน์ตัวเองในพรีเมียร์ลีกกับ ไบรท์ตัน ด้วยทักษะอันหลากหลาย ซึ่งทำให้เขาดูเหมาะสมอย่างมากกับความต้องการของ หงส์แดง

"ผมพูดมาตลอดว่าผมชอบเล่นกับบอล ยิ่งผมอยู่ใกล้บอลมากเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกดีมากเท่านั้น ผมชอบเล่นมิดฟิลด์ มันไม่สำคัญว่าจะเป็นตำแหน่งเบอร์ 6, 8 หรือ 10 คือผมโตมากับการเป็นเบอร์ 10 แต่แล้วผมก็เข้าใจว่าผมน่าจะเล่นได้หลากหลายมากกว่านั้น"

"ผมคิดว่ามันสำคัญสำหรับนักเตะสมัยใหม่ที่จะเล่นได้อย่างหลากหลายเพื่อให้ทีมและกุนซือมีตัวเลือกที่แตกต่าง ถ้าคุณถามผม ผมจะบอกว่าวันนี้ผมรู้สึกชิลๆ มากกับการเป็นเบอร์ 8 แต่ผมก็รู้ว่าตัวเองสามารถเล่นเบอร์ 6 หรือ 10 ได้ด้วย"

หากยังมีใครเอามือเกาหัวแกรกๆ ด้วยความสงสัยในความสามารถของไอ้หนุ่มสัญชาติอาร์เจนไตน์แต่นามสกุลเสือกกึ่งสกอต-ไอริช ความผสมผสานที่ลงตัวทำให้ แม็ค อัลลิสเตอร์ เป็นหนึ่งใน 10 อันดับแรกของผู้เล่นพรีเมียร์ลีก ทั้งเรื่องของการผ่านบอลทะลุช่อง และชนะในการเอาบอลกลับมาของสัดส่วนพื้นที่ตรงกลางของสนาม

บรูโน่ แฟร์นันด์ส และ เควิน เดอ บรอยน์ คือท็อปลิสต์ของคนที่ผ่านบอลทะลุช่องมากที่สุด แต่ก็แย่งบอลคืนกลับมาได้ไม่มากเท่า แม็ค อัลลิสเตอร์ ขณะที่ โรดรี้ เอร์นานเดซ และ ดีแคลน ไรซ์ อยู่ในท็อปลิสต์ชนะการครองบอล  แต่ก็ผ่านบอลทะลุแค่ 6 ครั้ง ผิดกับ แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่ทำได้ถึง 15 ครั้ง

นอกจากนี้ เขายังติดหนึ่งในท็อป 10 ที่ชนะการครองบอลในพื้นที่แดนสามอีกด้วย

ครั้งหนึ่ง เจอร์เก้น คล็อปป์ เคยบอกว่าการเล่นแบบเคาน์เตอร์-เพรสซิ่ง มีประสิทธิภาพมากกว่าที่จะมีเพลย์เมกเกอร์คอยกำหนดทิศทางเกม ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยด้วยการเซ็นสัญญากับ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการผ่านบอลมากกว่า แต่ทำไมเขาไม่มองหาใครสักคนที่ทำได้ดีทั้งสองอย่างล่ะ?

เมื่อมองไปข้างหน้ามันก็หมายถึงต้องมองกลับมาด้วย

"ตัวตนของเราคือความเข้มข้น" เป๊ป ไลน์เดอร์ส ผู้ช่วยของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เคยพูดเอาไว้ตอนที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก

มีการเปิดเผยว่า คล็อปป์ ชมลูกทีมของเขาหลังชัยชนะเหนือ แมนฯ ยูไนเต็ด 7-0 ในเดือนมีนาคม ความสนใจของเขาไม่ได้อยู่ที่จำนวนประตู แต่เป็นการเพรสเซิ่งของ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ โดยเขาอธิบายว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้แข้งอายุน้อยมีตำแหน่งในทีมของเขา

"ฮาร์วี่ย์ เล่นได้อย่างท็อปฟอร์มในเกมเมื่อคืนก่อนกับ วูล์ฟส์ เขาเล่นเคาน์เตอร์-เพรสซิ่ง ได้สูงที่สุดกว่าผู้เล่นคนอื่นๆ ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ หากมันไม่ทำให้เขาได้ลงตัวจริงอีกครั้งผมก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว"

แม็ค อัลลิสเตอร์ มีสถิติเคาน์เตอร์-เพรสซิ่ง หรือเข้าใจแบบไทยๆ ก็คือการไล่กดดันคู่แข่งเพื่อเอาบอลคืนมาให้เร็วที่สุดถึง 328 ครั้งให้กับ ไบรท์ตัน เมื่อซีซั่นที่เพิ่งจบไป ซึ่งมากกว่ามิดฟิลด์ ลิเวอร์พูล ทุกคน ขณะที่การแท็คเกิ้ลรวมของเขาในพรีเมียร์ลีกที่ 70 ครั้งก็สูงกว่าทุกคนในสีเสื้อ หงส์แดง เช่นกัน

เมื่อพูดเรื่องนี้กับ แม็ค อัลลิสเตอร์ เขาอธิบายวาาจำนวนการเล่นเกมรับที่น่าประทับใจของเขาล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางความคิด

"เกมรับที่มากกว่านั้นเกี่ยวกับการตัดสินใจที่จะทำ ไล่เพรสซิ่ง เข้าปะทะ และแย่งบอลกลับมา" แม็ค อัลลิสเตอร์ กล่าว

"มันเป็นเรื่องของการตัดสินใจมากกว่าเรื่องของตำแหน่ง มันเป็นเรื่องของความปรารถนาที่จะแย่งบอลกลับคืนมา มันเป็นสิ่งที่ผมพัฒนาขึ้นมาก"

คุณจะเห็นว่า หงส์แดง ความเข้มข้นหายไปจากยุคที่คว้าแชมป์

"พวกเขาวิ่งไปทั่วสนาม แต่ที่ผมไม่เห็นก็คือ ลิเวอร์พูล วิ่งและปิดคนของฝ่ายตรงข้ามได้ มันไม่ใช่ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ผมกำลังเห็นอยู่ในตอนนี้" เจมี่ คาร์ราเกอร์ กล่าวเมื่อเดือนมกราคม

ลิเวอร์พูล มีเกมรับที่อ่อนปวกเปียกมากในฤดูกาล 2022-23 จะบอกว่าความเข้มข้นในแดนกลางที่หายไปน้ันส่งผลกระทบสำคัญเลย แม้กระทั่งลูกพี่ใหญ่อย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ยังหัวทิ่มหัวตำไปด้วย โดย ลิเวอร์พูล ปล่อยให้คู่แข่งสร้างโอกาสสำคัญทื่จะทำประตูได้ถึง 103 ครั้ง มีเพียง ลีดส์ ที่ตกชั้น และ ฟูแล่ม เท่านั้นที่สถิติแย่กว่าพวกเขา

เงยหน้าขึ้นไปดูทีมที่จบท็อปโฟร์ แมนฯ ซิตี้ แค่ 49 ครั้ง, อาร์เซน่อล 70 ครั้ง, แมนฯ ยูไนเต็ด 62 ครั้ง ส่วน นิวคาสเซิ่ล แค่ 51 ครั้ง ทั้งหมดไม่มีใครใกล้เคียงกับ ลิเวอร์พูล ในเรื่องของตัวเลขที่ไม่น่าโสภานี้เลย

คล็อปป์ พยายามแก้ไขด้วยการกระโดดถีบส่ง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ขึ้นไปเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวพิเศษแบบไฮบริด

มันไม่ใช่ทางออกที่สมบูรณ์แบบหรอก แต่มันก็เป็นความสำเร็จที่ช่วยให้ หงส์แดง จบฤดูกาลแบบไร้พ่าย 11 นัดติดในพรีเมียร์ลีก

รูปแบบ 3-2-5 ที่เกิดขึ้นในช่วงท้ายซีซั่นปรับเปลี่ยนโฉมหน้าแผงมิดฟิลด์ของทีมอยู่ไม่น้อย จอร์แดน เฮนเดอร์สัน พบว่าตัวเองอยู่ในบทบาทที่ไม่ปกติ ส่วน เคอร์ติส โจนส์ ก็ผลิดอกออกผลตรงนั้น มันเป็นตำแหน่งที่ แม็ค อัลลิสเตอร์ คงทำได้ดีเหมือนกันกับการควบคุมพื้นที่ๆ เยื้องไปทางซ้าย

ข้อได้เปรียบของ แม็ค อัลลิสเตอร์ คือเขาสามารถเล่นยังไงก็ได้ หาก คล็อปป์ ต้องการมิดฟิลด์ที่แตกต่างออกไปในโซนนั้น เขาก็จะเล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ถ้า คล็อปป์ หวังจะฟื้นคืนชีพความเข้มข้นแบบเก่าๆ เขาก็สามารถผลักดันสิ่งนั้นได้เช่นกัน

เขาแค่คนเดียวแก้ปัญหาทั้งหมดนี้ไม่ได้หรอก แต่อย่างน้อย แม็ค อัลลิสเตอร์ ก็ช่วยคุณได้


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด