ถึงเวลาร่วมใจ ฝ่าวิกฤตไทยลีก
แต่ภาพรวมถือว่าเริ่มเห็นแนวทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขายแพ็คเกจ โดยตัวแทนจาก บริษัท แพลน บี จำกัด (มหาชน) ผู้ดูแลสิทธิประโยชน์สมาคมฯ จะเอาไปขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดให้ฟรีทีวี หรือ แพลตฟอร์มออนไลน์ ในสัปดาห์หน้าคงมีความชัดเจนมากขึ้น
ส่วนแพ็คเกจชมฟุตบอลไทยลีก 2023/24 ยืนยันแล้วว่าจะตกอยู่ที่เดือนละ 59 บาท หากซื้อแพ็คเกจเหมาทั้งฤดูกาลจะอยู่ที่ 500 บาท ราคานี้แฟนบอลจะได้ชมทั้งฟุตบอลลีกและฟุตบอลถ้วยในประเทศทั้งลีกคัพ และ เอฟเอคัพ
ส่วนสโมสรสามารถซื้อยูสเซอร์ไปทำการตลาดพ่วงในโปรโมชั่นของ เสื้อแข่งขันใหม่ หรือการขายตั๋วปีได้เลย แล้วแต่กลยุทธ์ทางการตลาดของสโมสร
จากนั้นทั้ง 16 สโมสรจะนำเงินที่ขายแพ็คเกจได้มากองรวมกันแล้วหารเป็นเงินออกมาจ่ายให้ทุกสโมสรเท่าๆ กัน
ส่วนเวลาแข่งขันเริ่มเวลา 17.30 น., 18.00 น., 19.00 น. และ 20.00 น. โม่แข้งในวันศุกร์, เสาร์, อาทิตย์ และจันทร์
หากสัปดาห์ไหนกลางสัปดาห์มีฟุตบอลถ้วยก็จะไม่มีโปรแกรมแข่งขันมันเดย์ไนท์ โดยในวันศุกร์ที่ 21 ก.ค.นี้แฟนบอลจะได้ทราบวันและเวลาแข่งขันอย่างเป็นทางการ
ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือแคมเปญ “Savethaileague” โดยเป็นการกระตุ้นและเชิญชวนแฟนบอลแต่ละสโมสรให้มาร่วมกันซื้อแพ็คเกจถ่ายทอดสดเยอะๆ เพราะหากมีผู้สมัครมากเท่าไหร่ เงินที่จะสโมสรจะได้รับก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
หากทำได้วิกฤตสภาพคล่องทางการเงินของแต่ละทีมน่าจะประคองตัวไปจนจบฤดูกาลได้ไม่ยาก
ถามว่าราคาแพ็คเกจชมฟุตบอลไทยลีก เดือนละ 59 บาท หากแพ็คเกจทั้งฤดูกาล 500 บาทแพงไหม?
ก็ต้องตอบว่า “ไม่แพง” เมื่อเทียบกับราคาของฟุตบอลต่างประเทศ แต่ราคาแบบนี้ใช่ว่าจะมีแฟนบอลสมัครกันเยอะ
ดังนั้นทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันยกระดับฟุตบอลไทยลีกให้น่าสนใจมากขึ้น เพื่อดึงดูดลูกค้าหรือแฟนบอลให้มาสมัครชมฟุตบอลไทยลีก
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ฟุตบอลไทยแข่งขันในช่วงเวลาเดียวกับฟุตบอลลีกยุโรป ซึ่งแฟนบอลส่วนใหญ่ให้ความสนใจมากกว่า
ไม่ว่าจะเป็นสโมสรที่อาจจะต้องปรับภาพลักษณ์ให้เป็นมืออาชีพเหมือนต่างประเทศ ทั้งในเรื่องของสนามแข่งขันต้องได้คุณภาพ โค้ชต้องมีพื้นที่ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนมากขึ้นในเรื่องของทีม
นักเตะระดับแม่เหล็กต้องมีการสัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวหรือสร้างคอนเทนท์ให้มากขึ้น สโมสรกับแฟนบอลต้องมีความใกล้ชิดและยึดโยงกันมากขึ้น
ผู้บริหารไม่เข้ามาแทรกแซงการทำงานของโค้ช คอยทำหน้าที่บริหารและนั่งในโซน VIP ไม่ลงมาอยู่ข้างสนาม จะสามารถสร้างความเป็น “ฟุตบอล” จริงๆ มากกว่าเดิม
โค้ชหรือกุนซือต้องพยายามโชว์แท็คติคการเล่นให้ดูทันสมัย เล่นบอลรวดเร็ว สั่งลูกทีมไล่บี้ บีบพื้นที่ คอยเพรสซิงเข้าหากันอย่างดุเดือดเผ็ดมัน สร้างฟุตบอลด้วยการเล่น “เกมรุก” เพื่อเอาใจแฟนบอลที่เข้ามาชมเกมในสนามหรือชมการถ่ายทอดสดทางบ้าน
นักเตะเองต้องมีความเป็นมืออาชีพ เล่นฟุตบอลอย่างเดียว ไม่เล่นนอกเกมหรือตุกติก ไม่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวใส่ผู้ตัดสิน เหมือนกับ “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ กองกลางค่าตัว 70 ล้านบาทของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เคยพูดไว้ว่านักเตะญี่ปุ่นเขาเคารพนักเตะด้วยกัน
อย่าลืมว่าภาพจำของแฟนบอลทั่วไปที่มีกับฟุตบอลไทยมันติดลบไปแล้ว หากมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นอีกแฟนบอลเหล่านั้นก็จะเหมารวมว่าฟุตบอลไทยยังคงเล่นป่าเถื่อนเหมือนในอดีต
ขณะที่ “ผู้ตัดสิน” ต้องควบคุมเกมให้ได้ พยายามปล่อยให้จังหวะเกมไหลลื่น ไม่เป่าหยุดเกมให้ฟาวล์แบบพร่ำเพื่อ ลดความผิดพลาดให้น้อยลง เข้าใจว่ายังไงเสีย “มนุษย์” ย่อมมีข้อผิดพลาด แต่หากเป็นความผิดพลาดแบบสุจริตและแก้ไขเชื่อว่าแฟนบอลให้อภัยแน่นอน
นักข่าวหรืออินฟลูเอนเซอร์ ต้องพยายามทำคอนเทนท์ นำเสนอข้อมูลที่ตรงไปตรงมา มีเหตุผล และช่วยกันนำเสนอภาพลักษณ์ ความสนุก ความมีน้ำใจ สปิริตนักกีฬาให้สาธารณชนที่เป็นแฟนบอลตัวจริงหรือขาจรได้เข้าถึงฟุตบอลไทยได้ง่ายขึ้น
ที่สำคัญเลยคือ “แฟนบอล” จะต้องเข้าใจวัฒนธรรมการเชียร์ ต้องคอยซัพพอร์ตทีม ทั้งการเชียร์ทีมในสนาม และพยายามซื้อสินค้าของสโมสร เสื้อแข่งขัน ของที่ระลึก เพื่อสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนให้สโมสรมีรายได้ที่เข้ามาหลายทาง หากชมการถ่ายทอดสดก็ต้องชมผ่านช่องทางที่ถูกต้อง ไม่สนับสนุนช่องทางเถื่อนที่ละเมิดลิขสิทธิ์
เมื่อทุกภาคส่วนช่วยกันคนละไม้คนละมือในการยกระดับฟุตบอลไทยให้เทียบชั้นฟุตบอลในต่างประเทศอย่าง เจลีก ญี่ปุ่น หรือ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เชื่อว่ากระแสฟุตบอลไทยมีโอกาสกลับมาบูมอีกครั้ง และมูลค่าของฟุตบอลไทยลีกจะเพิ่มมากขึ้นกว่าปัจจุบันอย่างแน่นอน
เพราะยังไง “ฟุตบอลไทย” มันมีคุณค่าอยู่แล้ว อยู่ที่จะช่วยกันสร้างหรือทำลายหม้อข้าวหม้อแกงใบนี้เท่านั้นเอง
จับมือไว้แล้วฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกันครับ