ถาม : 5 ปีที่ผ่านมา ไม่มีการให้สัมภาษณ์เลย เพราะอะไร ?

อิสโก้ : ผมพยายามที่จะไม่ตกเป็นเป้าสนใจ เพราะครั้งสุดท้ายที่ผมยืนต่อหน้าสื่อผมรู้สึกอึดอัดอย่างมาก ผมไม่ชอบที่สื่อกีฬากลายเป็นส่วนหนึ่งของการเล่น 'ข่าวลือ' ก่อน แล้วจึงค่อยนำข้อเท็จจริงมาเปรียบเทียบ และที่สุดแล้วเราก็เป็นคนคนนึงและตอนที่หลายสิ่งหลายอย่างซึ่งมันไม่ใช่ความจริงถูกเผยแพร่ออกไป มันทำลายคุณ ทำลายครอบครัวคุณ ลูกๆของคุณ ด้วยเหตุนี้ผมจึงพยายามอยู่ให้เงียบเข้าไว้ 

ถาม : แสดงว่าที่ผ่านมาคุณต้องพยายามอดกลั้นอย่างมากที่จะไม่ออกมาตอบโต้ช่าวลือต่างๆ ? 

อิสโก้ : ใช่ หลายครั้งมากๆ ผมไม่ต้องการถูกดึงเข้าไปสู่วังวนของข่าวลือ และผมคิดว่าผมเองก็มีส่วนผิดเช่นกัน ผมผิดเพราะว่าผู้คนควรที่จะได้รับรู้จากคนต้นเหตุว่ามันเกิดอะไรขึ้น มีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นมากมายที่เป็นความผิดของผมเอง และมีอีกมากมายที่ความผิดไม่ได้มาจากผม ซึ่งคิดไปแล้วมันก็ดีที่ได้ออกมาพูด เพื่อยกสิ่งต่างๆที่ผมแบกไว้ออกเสียบ้าง มันคือหนามที่ปักอยู่ภายในใจ เพื่อให้ผู้คนได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเรื่องราวเป็นมาอย่างไร 

ถาม : การแยกตัวออกห่างไป มันดีต่อความเป็นส่วนตัวของคุณ แต่มันส่งผลแย่ต่ออาชีพคุณหรือเปล่า ? 

อิสโก้ : ก็อาจเป็นได้, ที่สุดแล้วผมคิดว่าหลังจากหลายปีผ่านไปในวงการฟุตบอล ผมได้สร้างเกราะชนิดนึงขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเองจากสื่อมวลชน ผมเคยมีเรื่องกับทะเลาะนักข่าวบางคน และด้วยเหตุนี้ผมจึงให้ความสำคัญกับความสงบสุข , ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกรณีพิพาทใดๆ พยายามทำตัวออกห่างจากจุดศูนย์กลาง 

ด้านนึงมันดี แต่อีกด้านนึงก็คือ บางครั้งคุณควรต้องเผชิญหน้ากับความจริงบ้าง และด้วยเหตุผลนี้นี่เองที่ผมต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิด ผมปิดปากเงียบมาเป็นเวลาหลายปี  และตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องเปิดปากแล้ว 

ถาม : ถ้าอย่างนั้น เราเริ่มกันเลย ?

อิสโก้ : เพอร์เฟกต์ !

ถาม : คุณเพิ่งออกมาจากศูนย์ฝึก Crys Diaz & Co ที่ที่คุณใช้เป็นการเตรียมตัวช่วงปรีซีซั่น สัปดาห์นึงคุณมาที่นี่กี่ครั้ง ?

อิสโก้ : ผมมาตั้งแต่วันจันทร์-ศุกร์ ซึ่งเทรนเนอร์ส่วนตัวจะให้โจทย์ผมมาว่าจะต้องทำอะไรในทุกๆบ่ายและช่วงเสาร์-อาทิตย์ ผมร่วมการฝึกซ้อมกับเข้าชีวิตรอบครัว,ลูกๆ แต่ผมก็ยังคงมีความกระหายที่จะลงเล่น นั่นคือความจริง ผมคิดถึงการลงสนามและหวังว่ามันจะมาถึงในเร็วๆนี้ 

ถาม : หนักมั๊ยที่ต้องซ้อมคนเดียว ?

อิสโก้ : มันหนักเพราะว่าผมคิดถึงลูกฟุตบอลแล้ว แต่ว่าระหว่างทางที่ออกจากบ้านมาที่นี่ผมมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากมาย ซึ่งผมรู้สึกดี นี่เป็นการฝึกซ้อมที่สนุก โฟกัสทุกอย่างไปที่ฟุตบอล นี่คือสิ่งที่ผมต้องทำ ผมกำลังสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่

ถาม : แต่ว่าช่วงปรีซีซั่นได้เริ่มขึ้นแล้ว คุณไม่คิดถึงการทำงานตรงนั้นหรือ ?

อิสโก้ : คิดถึง, ก็อย่างที่ผมได้บอกคุณไปว่าผมคิดถึงลูกฟุตบอล คิดถึงการแข่งขัน ,เกมต่างๆ บรรยากาศในห้องแต่งตัว ผมคิดถึงความรู้สึกของการเป็นนักฟุตบอล  แน่นอนว่าความจริงคือผมได้รับข้อเสนอ แต่ผมไม่ต้องการทำผิดพลาด หรือเลือกเส้นทางผิดในอาชีพ สิ่งสำคัญคือความทะเยอทะยานที่ผมมียังไม่บุบสลาย  ผมมีความกระหายที่จะลงเล่น ที่จะต่อสู้ ที่จะสนุกไปกับเกม และผมเฝ้ารอคอยด้วยความตื่นเต้นถึงช่วงเวลาที่จะได้กลับไป 

ถาม : ข้อเสนออะไรที่คุณกำลังรออยู่ ?

อิสโก้ : โปรเจคต์ที่มีความต่อเนื่อง ทีมที่ต้องการเล่นฟุตบอลในสไตล์ทีมเวิร์ค และสนุกสนาน ผมอยู่ในช่วงเวลาของอาชีพที่ประสบความสำเร็จมาแล้วทุกอย่าง สิ่งที่ผมต้องการคือความสนุกสนาม แน่นอนว่าในระดับการแข่งขันก็จะต้องแข็งแกร่ง และถ้าจะมีถ้วยแชมป์เข้ามาเพิ่มอีกก็จะดีมาก ผมยังหนุ่มแน่นอน ยังเหลือเวลาอีกหลาปีในวงการฟุตบอลระดับสูง ตอนนี้ถึงเวลาที่ผมต้องแสดงออกมาให้ทุกคนเห็น

ถาม : อะไรคือสิ่งที่คุณเน้นให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ?

อิสโก้ : ทีมที่มีโปรเจคต์พร้อมต่อสู้แข่งขัน และพยายามที่จะเล่นฟุตบอลในแนวทางที่สวยงาม ผมไม่เคยวางเงินไว้ในลำดับความสำคัญแรก ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงไม่ย้ายไป เซบีย่า ผมได้รับและเคยได้รับข้อเสนอมากมายจาก กาตาร์ และ ซาอุดิอาระเบีย ด้วยค่าตอบแทนมหาศษล แต่ผมต้องการเล่น ต่อสู้ และความสนุก 

ถาม : ทำไมนักเตะอย่าง อิสโก้ ถึงตกอยู่ในสถานการณ์นี้ มันเกิดอะไรขึ้น ?

อิสโก้ : มีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ผมหมดสัญญากับ เรอัล มาดริด และในช่วงปรีซีซั่นนั้น โลเปเตกี อยู่กับ เซบีย่า เขาโทรหาผม และผมว่าเขาต้องการผม ,โลเปเตกี คือหนึ่งในเทรนเนอร์ที่ดีที่สุดที่ผมเคยทำงานด้วย และผมมีฟอร์มที่ดีที่สุดตอนอยู่กับเขา ตอนนั้นผมได้รับข้อเสนอจากอิตาลี และว่าผมตัดสินใจว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผม เพราะ เซบีย่า คือทีมที่ยิ่งใหญ่ ได้ลงเล่นใน แชมเปี้ยนส์ลีก (เวลานั้น) , มี โลเปเตกี เป็นเทรนเนอร์ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่งดงามมาก

ถาม : มันเกิดอะไรขึ้นตอนที่พวกเขาไล่ โลเปเตกี ออก ?

อิสโก้ : หลังจาก โลเปเตกี ออก , ซัมเปาลี ก็เข้ามา ซึ่งมันก็ดี แต่ว่าตอนที่ โลเปเตกี ไปนั้น มันอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวกับตลาดนักเตะหน้าหนาว ผมมองเห็นสิ่งต่างๆที่แปลกๆมากมายภายในสโมสร 

เริ่มต้นเล่าอย่างนี้ , พวกเขาโทรหาเอเยนต์ของผมเพื่อให้ผมหาทางย้ายออกไปโดยไม่มีการพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว หรืออธิบายใดๆกับผม เหตุนี้เมื่อผมกลับไป ผมจึงตรงไปคุยกับ มอนชี่ ทันที และบอกกับเขาว่า “เฮ้ ฟังนะ มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับผม ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมไม่รู้ว่าพวกคุณต้องการอะไร ถ้าพวกคุณไม่ต้องการผมก็คุยกับตรงๆกับผม และเราจะแก้ไขปัญหานี้ด้วยกัน ผมพร้อมเสมอสำหรับพวกคุณ” 

ผมไม่รู้ว่ามันเกิดวิกฤติอะไรกับ เซบีย่า แต่ว่าหลังจากบทสนทนาในวันนั้น ทุกอย่างก็พัง ผมแค่อยากรู้ว่าสโมสรคิดอย่างไร หลังจากบทสนทนานั้น มอนชี่ ก็พูดว่าผมเป็นฝ่ายอยากย้ายทีมเอง ซึ่งมันไม่ใช่ความจริงเลย  

ดังนั้นผมจึงไปคุยกับเขาอีกครั้ง และบอกเขาว่า “ฟังนะ มอนชี่ นายไม่จริงใจกับฉัน ไม่แม้แต่กับคนที่นายเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง ฉันต้องการอยู่ที่นี่ต่อ และนายไปพูดกับคนอื่นๆว่าฉันต้องการย้าย” จากจุดนั้นเราก็เริ่มมีข้อโต้แย้งกัน 

ถาม : แล้วเกิดอะไรขึ้น ?

อิสโก้ : มันต้องค่อนแรง กับสิ่งที่ผมจะเล่า, ผมบอกกับเขา(มอนชี่)ว่าเขาเป็นคนที่ตอแหลที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอในโลกฟุตบอล และเขาก็เข้ามาคุกคามผม เขาตรงดิ่งมาหาผม กระชากคอผม จนต้องมีการห้ามปรามแยกออกจากกัน และเราต้องแยกทุกอย่างออกจากกันอย่างสิ้นเชิง 

หลังจากเหตุการนั้นผมไม่อยากที่จะดำเนินการอะไรต่อ แม้ว่าผมจะรู้สึกเสียใจ เพราะผมมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมทีม กับแฟนบอลที่ปฏิบัติกับผมอย่างสุดวิเศษ ผมไม่สามารถมีความสุขกับสโมสรที่มีผ.อ.กีฬาที่ทำร้ายร่างกายผม และไม่มีการเอาผิดเขาได้ ไม่มีแม้แต่คำขอโทษ จากการทำร้ายร่างกาย หรือจากคำโกหกต่างๆที่หลั่งไหลออกมา เช่นนี้ผมจึงยกเลิกสัญญาและย้ายออกมา 

ถาม : เหตุเกิดที่ออฟฟิศของสโมสร ?

อิสโก้ : มันเกิดขึ้นหลังจากการซ้อม ระหว่างทางไปที่ห้องแต่งตัว 

ถาม : แล้วคุณรีแอคชั่นอย่างไรหลังจากโดน ผ.อ.กีฬา กระชากคอ ?

อิสโก้ : ตอนแรกผมผลักเขาออกไป หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เข้ามาแยกเราทั้งคู่ออกจากกัน ผมรู้ว่าทั้ง มอนชี่ และสโมสรกำลังผ่านช่วงเวลาที่เปราะบาง แต่ว่าการก้าวข้ามกำแพงแห่งความรุนแรงนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถยอมให้เกิดขึ้นได้ 

ผมเคยมีความสุขกับ เซบีย่า , ผมลงเล่นสม่ำเสมอและแม้ว่าเราจะผ่านช่วงเวลาที่ไม่ดีนักในแง่ของผลการแข่งขัน แต่ว่าเราก็มั่นใจว่าเราจะฝ่ามันออกไปได้ ก็เหมือนกับที่ตอนจบของฤดูกาลนั่นแหละ แต่มันไม่ถูกที่มีการนำเรื่องนี้ไปพูดกันในหลายๆที่โดยเฉพาะสื่อในเมืองเซบีย่า ที่พูดว่าผมเป็นคนกระโดดหนีออกจากเรือที่กำลังจะจม สิ่งนี้ไม่เคยมีอยู่ในหัวของผมเลย ผมอยู่กับ เรอัล มาดริด มาหลายปี และผมไม่เคยยอมแพ้ ผมสู้เพื่อตำแหน่งองตัวเองเสมอ บางครั้งผมทำสำเร็จ บางครั้งก็ไม่ แต่ตลอดชีวิตผม ผมไม่เคยยอมแพ้ ไม่เคยหนีเลยแม้แต่ครั้งเดียว

(อ่านต่อ PART II เร็วๆนี้) 

        เจมส์ ลา ลีกา แปล & เรียบเรียง