แฟนบอลรุ่นเก่า จะทราบกันดีว่า พอลลีน ชื่อเดิมคือ พินิจ งามพริ้ง เป็นผู้ก่อตั้งเชียร์ไทยพาวเวอร์เมื่อปี 2543 สมัยที่ฟุตบอลทีมชาติไทยมีคนดูหลักร้อย นายกสมาคมฟุตบอลฯ ชื่อวิจิตร เกตุแก้ว พินิจ รวบรวมกำลังพลผ่านเวบไซต์ เชียร์ไทยดอทคอม เข้าไปเชียร์ทีมชาติไทย ด้วยการริเริ่มนำกลองเข้าไปตีเข้าจังหวะเพลงเชียร์ที่แต่งขึ้นมา ก่อนหน้านั้น มีแต่คำว่า "ไทยแลนด์สู้ๆๆ"
เมื่อถึงจุดหนึ่งพินิจ มีความคิดว่า รากฐานของฟุตบอลคือกองเชียร์และฟุตบอลไทยต้องเป็นฟุตบอลอาชีพ จึงร่าง "แผนแม่บทเพื่อพัฒนาฟุตบอลไทยอย่างยั่งยืน" พร้อมก่อม๊อบขับไล่นายกฯ วิจิตร ด้วยป้ายผ้า "VJ Gets Out" ครั้งนั้นสร้างความสั่นสะเทือนให้กับสมาคมฟุตบอลฯ ถึงขึ้น อ.วิจิตร เกตุแก้ว ลาออกในเวลาต่อมา จน "บังยี" วรวีร์ มะกูดี เลขาฯสมาคมเข้ามารับตำแหน่งแทนโดยการเปิดทางให้ของ "อ.วิจิตร" เอง
ชื่อของพินิจ เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ถึงขั้นที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันพาดหัวข่าว "ชายผู้กล้า ท้าทายสมาคมฟุตบอลไทย"
จนเกิดการตั้งคำถามว่า พินิจเป็นใคร รับจ้างใครมาล้มวิจิตร เกตุแก้ว รึเปล่า
จากการสอบถามไปยังคนที่รู้จักพินิจมานาน พบว่า พินิจ เคยเรียนอยู่รร.สุรศักดิ์มนตรี และเคยเป็นนักฟุตบอลสังกัดธำรงไทยสโมสรของ สุเมธ แก้วทิพยเนตร เมื่ออายุ 16 เขาติดทีมชุดใหญ่ร่วมทีมกับรุ่นพี่เพื่อแข่งรายการไทยซอคเกอร์ลีก ก่อนเปิดฤดูกาลถ้วยพระราชทาน ก. แต่สุดท้ายพินิจเลิกที่จะเลิกเดินต่อในเส้นทางฟุตบอล เบนเข็มให้กับการเรียนที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
หลังจบคณะนิเทศศาสตร์ เขาเริ่มต้นการทำงานที่หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ในฐานะผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจในช่วงเศรษฐกิจบูม ทำให้ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยสัมภาษณ์กับนักธุรกิจชั้นแนวหน้าหลายคน ไม่ว่าจะเป็น อนันต์ อัศวโภคิน, อนันต์ กาญจนพาส, เศรษฐา ทวีสิน, อภิชาติ จูตระกูล, สงกรานต์ อิสระ, คุณหญิงศศิมา ศรีวิกรม์, กิตติรัตน์ ณ ระนอง หรือแม้กระทั่ง นวลพรรณ ล่ำซำ ซึ่งขณะนั้น เพิ่งเรียนจบและเข้ามาช่วยงานธุรกิจของครอบครัว พัฒนาโครงการเมืองไทยภัทรคอมเพล็กซ์ บนถนนรัชดาภิเษก
"อาจจะเพราะเหตุนี้ ที่ทำให้หนุ่มน้อยพินิจ ไม่มีความประหม่าหรือเกรงกลัวในการเข้าสังคมผู้ใหญ่ที่เป็นระดับบิ๊กเนมทั้งหลาย" เพื่อนสื่อมวลชนของพินิจกล่าว
เมื่อเร็วๆนี้ พอลลีนตอบคำถามคนใกล้ชิดว่า เคยรู้จัก "มาดามแป้ง" เป็นการส่วนตัวหรือไม่ พอลลีนกล่าวว่า "สมัยทำข่าวที่บางกอกโพสต์ จำได้ว่า ตอนวันเกิดพอลลีน (พินิจ) คุณนวลพรรณเคยให้ทีมงานพีอาร์ ส่งดอกไม้ช่อใหญ่มาให้พร้อมการ์ดอวยพร ซึ่งแกคงไม่มีทางที่จะจำได้ เพราะมันเป็นปกติของงานพีอาร์ทางธุรกิจ และตอนนั้นพอลลีนเป็นผู้ชาย คนละเรื่องกับตอนนี้"
หลังจากออกจากวงการข่าว พินิจไปทำงานเป็นผู้จัดการการตลาด บริษัท ยูนิเวสต์ เมืองเอก บริษัทพัฒนาที่ดิน โดยการชักชวนของคุณพิชัย วาศนาส่ง และจากนั้นก็ไปเป็นผู้ชำนาญการด้านสื่อสารองค์กรที่ ธนาคารกรุงเทพ
จากนั้นพินิจไปเป็น ที่ปรึกษาการตลาด ที่บริษัทโอกิลวี่ เอเจนซี่ยักษ์ใหญ่จากอเมริกา ให้คำปรึกษาองค์กรชั้นนำ รวมทั้ง ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย
ช่วงทำงานที่โอกิลวี่นี่เอง ที่พินิจเริ่มก่อตั้ง เชียร์ไทยพาวเวอร์ ด้วยทุนและเวลาส่วนตัว โดยแจ้งครอบครัวว่า เป็นงานอดิเรก และเพื่อการตอบแทนสังคมฟุตบอลที่เขารัก
จากงานเอเจนซี่ พินิจ งามพริ้ง ข้ามสายงานไปวงการรถยนต์ที่ มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย รับภารกิจใหญ่เปิดตัว รถยนต์มาสด้า3 เจเนอเรชั่นแรกให้ประสบความสำเร็จในไทย เพราะถือว่าเป็นความท้าทายของมาสด้าทั่วโลกที่ใกล้สู่ภาวะล้มละลาย
ยอดจองวันแรกของมาสด้า3 ทะลุวันละ 600 คัน จนรถไม่พอส่งมอบ ด้วยการทำงานของพินิจร่วมกับ ปพนธ์ รัตนชัยกานนท์
ผลงานของพินิจ เข้าตา ประธานบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จึงดึงพินิจมาร่วมงานเพื่อฟื้นฟู มิตซูบิชิ ไทรทัน จนทั้งประธานมาสด้าและมิตซูบิชิ ถึงกับต้องทำข้อตกลงว่า "ห้ามสอบถามข้อมูลความลับเชิงธุรกิจจากพินิจ"
หลังจากหมดความท้าทายจากมิตซูบิชิแล้ว พินิจไปร่วมงานกับ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย แห่งดีซีคอนซัลแทนซ์ อยู่พักหนึ่ง ในฐานะ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์ ทำงานร่วมกับ ดร. วิทย์ สิทธิเวคิน ผู้ข้ามฝากมาจาก บีเอ็มดับเบิลยู
ในขณะที่ เชียร์ไทยพาวเวอร์ มีสมาชิกมากขึ้นพร้อมการก่อกำเนิด ไทยพรีเมียร์ลีก พินิจได้รับเชิญจากสโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก ให้ไปร่วมงานฐานะปรึกษา ดูแลการประสานกับ AFC เพื่อจัดการแข่งขัน AFC Champions League
พินิจลาออกจากสโมสรการไฟฟ้าฯ เพียงไม่นาน ก็เกิดการสวมสิทธิ์ เป็น บุรีรัมย์ พีอีเอ และเปลี่ยนมาเป็น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในเวลาต่อมา
พินิจไปร่วมงานกับ รองผู้อำนวยการสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ ที่นำโดย กิตติรัตน์ ณ ระนอง (ณ ขณะนั้น) ในตำแหน่ง Chief of Public Relations ทั้งคู่พูดคุยเรื่องฟุตบอลเมื่อตอนที่กิตติรัตน์เป็นผู้จัดการทีมชาติไทย และพินิจเป็นผู้นำทัพเชียร์ไทยฯ
พินิจออกจากศศินทร์ หลังจากที่กิตติรัตน์ไปเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยชินวัตร พินิจไปเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ. คูลสปอร์ต ก่อนที่หุ้นส่วนคูลสปอร์ตจะแยกตัวออกมาตั้งบริษัทวอริกซ์
ระหว่างทำงานประจำที่คูลสปอร์ต พินิจในฐานะประธานเชียร์ไทย ร่วมกับประธานกองเชียร์เมืองทอง พิพัฒน์ วราเมธพิพัฒน์ ขับไล่นายกวรวีร์ หลังจากทีมชาติไทยตกรอบแรกซีเกมส์สองสมัยซ้อน
พินิจประกาศลงสมัครนายกสมาคมฟุตบอลแข่งกับวรวีร์ แต่สุดท้าย "บิ๊กกร๊อง" วิรัช ชาญพานิชย์ ขอให้พินิจถอนตัวเพื่อร่วมทีมเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม วิรัช ชาญพานิชย์ แพ้การเลือกตั้งเมื่อครั้งนั้น และพินิจก็หายจากวงการฟุตบอล จนเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งหลังการเปลี่ยนแปลงเพศสภาพเป็น "พอลลีน งามพริ้ง"
เมื่อการเลือกตั้งปี 2562 พอลลีน มีชื่อเป็นประธานยุทธศาสตร์ และแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี ในนามพรรคมหาชน แต่ไม่ได้เข้าสภาแม้แต่ที่นั่งเดียว
พอลลีนสมัครเข้าเป็นสมาชิกอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกลในปัจจุบัน ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พอลลีนสละสิทธิ์ในการลงสมัคร สส. กทม. คนใกล้ชิดกล่าวว่า "เนื่องจากเหตุผลส่วนตัว"
ล่าสุด พอลลีน ประกาศในเฟสบุ๊คส่วนตัวว่า พร้อมที่จะเดินหน้าต่อไปในการชิงตำแหน่งแข่งกับมาดามแป้ง แม้ว่าจะเสียเปรียบทุกประตู และแม้ว่าจะโดนปรามาสหรือดูถูกอย่างไร เธอก็ต้องการยืนหยัด โดยการชู "อุดมการณ์นิยม" เพื่อแข่งขันกับ "ทุนนิยม"
ปลายทางของการแข่งขันจะเป็นเช่นไร นโยบายในการทำงานที่จับต้องได้เพื่อความยั่งยืน จะมีน้ำหนักเพียงพอให้เกิดความสนใจและสามารถเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของการบริหารงานฟุตบอลไทยได้หรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่น่าจับตามองต่อไป
