โดยเฉพาะเกมรุกที่ได้ “เจ” ชนาธิป สระกระสินธ์ จอมทัพทีมชาติไทย มาจากคาวาซากิ ฟรอนตาเล่ ในเจลีก ญี่ปุ่น ด้วยค่าตัวสูงถึง 70 ล้านบาท
เมื่อส่องขุมกำลังตั้งแต่ผู้รักษาประตูถึงกองหน้าต้องบอกว่ามีแต่ของดีระดับพรีเมี่ยม ไม่ต่างจากการยกทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ในปัจจุบันมารวมตัวกัน
ปราการด่านสุดท้าย ฉัตรชัย บุตรพรม คัมแบ็คยึด 1 มือ ขณะที่มือ 2 ยังมี กิตติพงษ์ ภูแถวเชือก คอยสแตนด์บาย
แนวรับ วิคเตอร์ คาร์โดโซ่, อิราฟาน ฟานดี้ หรือแม้แต่ตัวใหม่อย่าง เรนาโต้ เคลิช ล้วนฝีเท้าไม่ธรรมดา
แดนกลางไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล, สารัช อยู่เย็น และ เชาว์วัตน์ วีระชาติ คือห้องเครื่องในฝันของใครหลายคน ตัวใหม่อย่าง เฟร็ดดี้ อัลวาเรซ ก็ไม่ธรรมดา
แนวรุกนอกจาก “เจ” แล้ว ยังมี ธีรศิลป์ แดงดา กับ อิกอร์ เซอร์เกเยฟ หัวหอกทีมชาติอุซเบกิสถาน เรียกว่านี่คือแนวรุกเบอร์ต้นของอาเซียนและเอเชียเลยก็ว่าได้
แต่ผลงานการออกสตาร์ทในลีก 2 นัดพวกเขาดันสะกดคำว่าชนะไม่เป็น ทำได้เพียงแค่เก็บ 2 แต้ม จากการเสมอกับ โปลิศ เทโร ไป 2-2
ล่าสุดเปิดบ้านทำได้เพียงเสมอกับ พีที ประจวบ ไปแบบไร้สกอร์ ขณะที่ทรงบอลยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน โดยเฉพาะเกมรุกแทบไร้พิษสง
สิ่งที่ทำให้แฟนบอลพูดถึงอีกประเด็นก็คือการจับเอา พิธิวัตต์ กองกลางดีกรีทีมชาติไทย ไปยืนเป็นแบ็คซ้าย ทั้งที่ในม้านั่งสำรองมีแบ็คซ้ายอาซีพอย่าง อภิสิทธ์ โสรฎา และ วัฒนากรณ์ สวัสดิ์ละคร อยู่แท้ๆ
ผลคือเกมนั้นกองกลางกล้ามขาใหญ่โดน จิรพันธ์ ผาสุขขันธ์ เผาเครื่องแทบทั้งเกม ขณะที่การเติมเกมรุกแทบจะเป็นอัมพาต
แน่นอนว่าด้วยผลงานดังกล่าวสร้างความกดดันให้ “โค้ชธง” ธงชัย สุขโกกี เป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่หลังเกมเขาได้ให้สัมภาษณ์ว่าพร้อมพิจารณาตัวเอง หากสโมสรมองว่าไม่มีความเหมาะสมที่จะพาทีมประสบความสำเร็จ
“แฟนบอลมีสิทธิ์ตั้งคำถามสงสัยในการทำงานเป็นธรรมดา เพราะผมก็ต้องยมอรับว่าผลการแข่งขัน 2 เกมกับทีมใหญ่อย่าง บีจี 2 แต้ม มันถือว่าไม่ตรงตามที่ต้องการ”
“ส่วนผมก็หลังจากนี้จะทำงานให้หนักขึ้น อย่างที่บอกผมพร้อมช่วยทีมเสมอ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ทีมรู้สึกว่าผมไม่เหมาะสม อันนั้นผมก็น้อมรับ” อดีตกุนซือนครปฐม ยูไนเต็ด กล่าว
ขณะที่ก่อนเกม เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก รอบเพลย์ออฟ ที่จะดวลกับ เซี่ยงไฮ้ พอร์ท จ่าฝูงของไชนีสซูเปอร์ลีก “โค้ชธง” ได้โพสต์ข้อความบนโลกโซเชี่ยลส่วนตัวอีกครั้ง ซึ่งใจความไม่ต่างจากเกมเสมอกับ “ต่อพิฆาต” โนสกอร์
“ผมตัดสินใจก้าวออกจากบ้านที่ผมรักและอยู่มาเกือบ 6 ปี บ้านที่ให้ความรักความมั่นคงและความอบอุ่นผมเสมอมา เพื่อหวังพิสูจน์และเติมความฝัน ในการทำงานสาขาอาชีพโค้ช ในบ้านหลังใหม่ การเริ่มต้นอาจจะยังไม่ดีนัก แต่ผมก็พร้อมสู้ และไม่คิดจะถอยแม้แต่ก้าวเดียว จนกว่าพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าไปต่อได้หรือไม่ ให้เวลาผมหน่อยถึงจุดนึงผมจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าผมทำมันสำเร็จได้จริง”
“แต่สุดท้ายถ้ามันไม่สำเร็จจริงๆผมพร้อมจะเดินจากไป และไม่มีอะไรค้างคาใจเพราะผมได้ทำเต็มที่แล้ว”
นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่าตอนนี้ “โค้ชธง” กำลังได้รับความกดดันจริงๆ ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะการคุมทีมใหญ่กับคุมทีมเล็กสถานการณ์และความคาดหวังมันแตกต่างกันอยู่แล้ว
เพราะการลงทุนมหาศาลกับการคว้านักเตะฝีเท้าดี แฟนบอลย่อมอยากเห็นทีมพัฒนาและอยากเห็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจ
แต่หลังจากที่ “เดอะ แรบบิท” บุกไปเอาชนะ เชี่ยงไฮ้ พอร์ท ถึงรัง 3-2 ในรอบเพลย์ออฟ จากการทำแฮตทริกของ อิกอร์ เซอร์กาเยฟ กองหน้าทีมชาติอุซเบกิสถาน พร้อมกับสร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปียนสลีก รอบแบ่งกลุ่มเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ย่อมทำให้ “โค้ชธง” ผ่อนคลายขึ้น
นัดต่อไป บีจี ปทุม จะเล่นเกมไทยลีกออกไปเยือน อุทัยธานี น้องใหม่ น่าจะทำให้ทีมเดินหน้าคว้าชัยชนะต่อเนื่องไม่ยาก หากรักษาฟอร์มเทพแบบนี้ไว้ได้
เรียกว่าทั้ง “โค้ชธง” และ บีจี ปทุม กลับมาคว้าชัยชนะได้ทันเวลาและอยู่ในจังหวะที่ดี แฟนบอลเองต้องเข้าใจและมอบกำลังใจให้ “โค้ชธง” ด้วย
อย่าลืมว่ากุนซือรายนี้ฝีมือไม่ธรรมดา มีแท็คติคและไอเดียใหม่ๆ มาติดตั้งให้ทีมก้าวไปข้างหน้าอยู่แล้ว
ทุกอย่างต้องใจเย็นๆ รอให้การจูนทีมลงตัวอีกสักหน่อย นี่แค่เริ่มต้นฤดูกาลเท่านั้น การสร้างทีมต้องใช้เวลา รอให้ทุกอย่างลงตัวอีกนิด
เชื่อว่าฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ...เป็นกำลังใจให้ครับ
