นอกจากนี้อย่าลืมว่า “เลบานอน” เหนือกว่าไทย รั้งอยู่ในอันดับ 100 บนตารางฟีฟ่าแรงกิ้งเลยทีเดียว โดยเฉพาะ 2 เกมหลังสุด ไทย โดนถลุงรวมกัน 10 ประตูเลยทีเดียว การคว้าชัยครั้งนี้ทำให้ ไทย ผ่านเข้าชิงชนะเลิศ อีกครั้งในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2018 ที่แพ้ให้ สโลวาเกีย ไปแบบหวุดหวิด 3-2 

ส่วนคู่ต่อกรในรอบชิงชนะเลิศของทีมชาติไทยคือ อิรัก ทีมแกร่งจากตะวันออกกลาง อันดับ 70 ของโลก ที่นำทัพมาโดย เรบิน ซูลาก้า และ ฟรานส์ ปูโตรส 2 กองหลังที่แฟนบอลคุ้นชื่อกันเป็นอย่างดี 

ขณะที่รูปเกมในเกมกับ เลบานอน เชื่อว่าหลายคนคงมองไปในทิศทางเดียวกันคือดีอย่างละครึ่ง คือออกสตาร์ทได้ดีในครึ่งแรก ครองบอลดีกว่า และมีโอกาสโจมตีใส่ เลบานอน แถมมีโอกาสจะเผด็จศึกหลายครั้ง แต่กว่าจะได้ประตูต้องรอให้ผู้เล่นฝั่งเขาทำเข้าประตูตัวเอง 

ครึ่งหลังหลายคนคิดว่า ไทย จะเปิดเกมบุกเอาประตูที่ 2 แต่กลายเป็นว่า มาโน โพลกิง เลือกที่จะแพ็กเกมรับและรอจังหวะสวนกลับเร็ว 

แต่มันช่างผิดธรรมชาติของไทยที่เล่นเกมรับไม่ดี จนสุดท้ายโดนลงโทษจาก บาสเซล จราดี้ กองหน้าป้ายแดงของ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด จากนั้นเกมของ ไทย ตื้อไปเลย 

จังหวะโต้กลับเร็วไม่แม่น จะเล่นเกมรุกเต็มตัวก็กล้าๆ กลัวๆ ทุกอย่างเลยเข้าทาง เลบานอน ด้านการแก้เกมต้องบอกว่าไม่มีอะไรแตกต่างจากเกมที่ผ่านๆ มา ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ราวกับว่าไอเดียของ มาโน ชักจะถึงทางตันแล้ว 

แต่ต้องชมเกมรับของ ไทย ที่เล่นกันได้ดีจนไม่โดนลงโทษเพิ่ม จนสุดท้ายมาได้ประตูชัยในช่วงท้ายเกมจากจังหวะ สารัช อยู่เย็น โยนข้ามฟากไปให้ นิโคลัส มิเคลสัน เอาบอลลงแล้วแต่งบอลเข้าซ้ายก่อนเปิดให้ ธีรศิลป์ แดงดา ทะยานโหม่งบอลจ่อๆ ตุงตาข่าย

จังหวะนี้ มิเคลสัน ได้รับคำชมเป็นอย่างมากในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะเขาโดนบังทางไม่ให้เล่นเท้าขวาข้างถนัด แต่ยังหาเหลี่ยมเปิดด้วยเท้าซ้าย แถมยังคุมบอลได้ดีและเปิดได้อย่างแม่นยำเข้าหัว “เทพมุ้ย” พอดี 

จริงๆ แล้วในฤดูกาล มิเคลสัน ถูกจับไปเล่นเป็นแบ็คซ้ายให้ โอบี โอเดนเซ่ บ่อยครั้ง นั่นอาจทำให้เขาต้องซ้อมเปิดบอลด้วยเท้าซ้าย อานิสงค์จึงตกมาอยู่ในเกมนี้พอดี 

ถือเป็นเรื่องดีที่ดาวเตะรายนี้เลือกเล่นให้กับทีมชาติไทย หวังว่าเขาจะไม่กลับมาค้าแข้งในแดนสยามและอยู่ค้าแข้งในยุโรปยาวๆ เพราะเชื่อว่าฝีเท้าของเขาพัฒนาได้อีกไกล 

อีกคนที่ มาโน โพลกิง ต้องขอบคุณเลยคือ ธีรศิลป์ แดงดา ที่ช่วยยึดขาเก้าอี้นายใหญ่ทัพ “ช้างศึก” ของเขาให้แน่นขึ้นอีกหน่อย หลังยิงประตูชัยให้กับทีมได้ทันเวลาพอดีอย่างกับคนที่รู้ใจ 

ทีมชาติไทย ยุค มาโน ลงสนามไป 32 นัดทุกรายการ ยิงไป 62 ประตู คนที่ยิงประตูมากที่สุดคือ “เทพมุ้ย” ที่กดไป 17 ตุง รวมถึงประตูล่าสุดด้วย เรียกว่านี่คือมือปืนข้างกายของกุนซือเลือดเยอรมนี-บราซิล คงไม่ผิดนัก 

แต่สุดท้ายต่อให้ มุ้ย จะยิงให้ตาย หรือ ไทย จะคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 49 มาครองได้สำเร็จ ก็ไม่ได้การันตีว่า มาโน จะได้อยู่คุมทัพ “ช้างศึก” ต่อไปหรือเปล่า 

เหมือนที่เขาให้สัมภาษณ์ก่อนเกมที่จะพบกับ อิรัก นั่นแหละ "เรื่องอนาคตของตัวผม? ผมขอมีสมาธิกับเกมวันพรุ่งนี้ก็พอ" 

เอาเป็นว่าด้วยความเป็นมืออาชีพก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ทำให้แฟนบอลไทยมีความสุขก็พอ

สู้ๆ ครับ มาโน และ ช้างศึก คว้าแชมป์มาครองให้ได้ครับ