ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา เมื่อสโมสรสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการแต่งตั้ง มาโกโตะ เทกุระโมริ อดีตกุนซือของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เข้ามากุมบังเหียน 

แม้การแยกทางกับ “กระต่ายแก้ว” กับ “โค้ชเทกุ” จบลงไม่สวย แต่ฝีไม้ลายมือของกุนซือเลือดซามูไรที่ฝากไว้ถือว่าไม่เลว 

ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาโกยแต้มก่อนจบฤดูกาลด้วยการเป็นรองแชมป์ไทยลีก 2021/22 ด้วยการมีแต้มตามหลัง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เพียงแค่ 2 คะแนน 

นอกจากนี้ยังพาทีมไปถึงรอบ 8 ทีมในศึกเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ก่อนจะตกรอบด้วยน้ำมือของ อูราวะ เรดไดม่อนส์ ที่สุดท้ายจะก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์ในปี 2021/22  

แม้ว่าแฟน “ฉลามชล” จะไม่ได้หวังไกลถึงการเห็นทีมรักก้าวไปถึงการคว้าแชมป์ไทยลีก เพราะเข้าใจสถานการณ์และสภาพทีมดีว่า คงไม่อาจสู้ทีมเงินถุงเงินถังในกลุ่มบิ๊กโฟร์ได้ 

แต่อย่างน้อยที่สุดการเห็นทีมรักเป็น “ม้ามืด” สร้างผลงานดี ได้เบียดลุ้นแชมป์ คอยสร้างปัญหาให้ทีมใหญ่ถือเป็นอะไรที่ตื่นเต้นแล้ว 

ส่วนความสำเร็จค่อยไปลุ้นกับฟุตบอลถ้วยอย่างฟุตบอลช้าง เอฟเอคัพ หรือ รีโว่ คัพ ซึ่งโอกาสเปิดกว้างและมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าการเป็นแชมป์ลีก

ทว่าแค่ออกสตาร์ทฤดูกาลแค่ 5 นัด ทีม “ฉลามชล” กลับฟอร์มไม่ได้เปรี้ยงปร้างอย่างที่หวัง เก็บชัยชนะได้แค่เกมเดียวจากการเบียด ลำพูน วอร์ริเออร์ ไป 1-0 

นอกนั้นเป็นการเสมอและแพ้อย่างละ 2 เกม โดยเฉพาะในเกมล่าสุดที่พวกเขาช็อก เปิดบ้านโดนน้องใหม่อย่าง อุทัยธานี เอฟซี บุกมาชำเราถึงถิ่น 0-2 ชนิดที่แฟนบอลไม่อยากเชื่อสายตาว่าภาพตรงหน้าจะเป็นความจริง เพราะชื่อชั้นที่เหนือกว่าและน้องใหม่เองฟอร์มก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรมาก แน่นอนว่าคนที่กดดันที่สุดคงหนีไม่ “โค้ชเทกุ” อย่างไม่ต้องสงสัย

หากจะชำแหละรายละเอียดของเกมต้องยอมรับว่ารูปเกมแต่ละนัดของ ชลบุรี เองไม่ได้น่าเกลียด สร้างโอกาสทำประตูเยอะมาก แต่จังหวะสุดท้ายยังคงมีปัญหา 

แนวรุกป้ายแดงอย่าง มูริโล เฟรตัส ยังไม่สามารถทดแทนการจากไปของ ดานิโล อัลเวส หรือ ยู บยอง ซู ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสภาพร่างกายยังไม่ฟิต ทำให้ภาระการทำประตูตกไปอยู่ที่ วิลเลียน ลิร่า คนเดียว 

วันไหนหัวหอกแซมบ้าโดนปิดตายหรือปืดฝืด เกมรุกของทีมแทบจะเป็นอัมพาตทันที

เกมรับเป็นอีกเรื่องที่ “โค้ชเทกุ” แก้ไม่ตก เนื่องจากทีมเสียไป 7 ประตู ปีนี้ทีมมีการเปลี่ยนแปลงแนวรับยกแผงทำให้ยังขาดความเข้าใจกัน 

ความใจดีที่ปล่อยนักเตะไปให้ทีมชาติไทย ในซีเกมส์ และ เอเชียนเกมส์ มีส่วนต่อผลงานทีมไม่น้อยเช่นกัน 

โดยเฉพาะดาวรุ่งอย่าง ทรงชัย ทองฉ่ำ, จักรพงษ์ แสนมะฮุง และ ยศกร บูรพา ขุมกำลังเหล่านี้สามารถเป็นตัวแทนและลงเล่นให้กับทีมได้ โดยเฉพาะ 2 รายแรกในตำแหน่งกองหลังที่มีปัญหา ทำให้ตัวเลือกของ “โค้ชเทกุ” ลดน้อยลงไป แต่เมื่อเลือกที่จะทำเพื่อชาติก็ต้องยอมรับผลลัพธ์ที่ตามมา

อย่างไรก็ตามเก้าอี้กุนซือของ “โค้ชเทกุ” ยังไม่ร้อนเท่าไหร่นัก เมื่อบอสใหญ่อย่าง วิทยา คุณปลื้ม ประธานสโมสรชลบุรี ยังยืนยันหนักแน่นว่ายังเชื่อมั่นในตัวกุนซือเลือดซามูไร และแท็คติคการเล่นของทีม 

เพราะการเริ่มต้นใหม่ยากเสมอ อยากให้ทุกคนอดทน และทำงานหนักไปด้วยกัน หากได้นักเตะดาวรุ่งที่กลับมาจากทีมชาติไทย ทีมมีการปรับจูนเครื่องให้เข้าที่เข้าทางกว่านี้ ฟอร์มจะดีตามมาแน่นอน 

แต่เมื่อมองไปดูโปรแกรมของ “ฉลามชล” ต่อจากนี้แล้วหนักใจจริง เพราะคู่ต่อกรของพวกเขาคือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด, ลีโอ เชียงราย ยูไนเต็ด, ราชบุรี, สุโขทัย และ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด บอกได้คำเดียวว่าหนักเอาการ 

แบบนี้แอบเป็นห่วง “โค้ชเทกุ” จริงๆ ยิ่งช่วงฟีฟ่า เดย์ ทีมมีการปล่อยตัวนักเตะไปรับใช้ชาติหลายคน หากโชคร้ายได้รับบาดเจ็บกลับมา รับรองส่งผลต่อทีมมหาศาลแน่ 

ตอนนี้จากฟ้าใหม่ที่ ชลบุรี ที่ตั้งเค้าว่าจะสดใส ชักจะไม่สดใสเอาซะแล้ว คงได้เวลาพิสูจน์ฝีมือ “โค้ชเทกุ” แล้วว่าจะพาทีมกลับมาทำผลงานได้ดีแค่ไหน 

แถมเป็นการประเมินด้วยว่าสุดท้ายแล้ว “โค้ชญี่ปุ่น” กับ “ฟุตบอลไทย” เคมีตรงกันแค่ไหน? สามารถไปด้วยกันได้จริงๆ หรือเปล่า? 

น่าติดตามจริงๆ ครับ หวังว่า “โค้ชเทกุ” และ “ชลบุรี” จะฝ่าวิกฤตนี้ไปได้