:::     :::

"คอนเทนต์ของวันนี้คือการเป็นวีรบุรุษ" แมกไกวร์ & โอนาน่า

วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2566 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
1,541
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
สถานการณ์สร้างวีรบุรุษอย่างแท้จริง จากผู้เล่นที่ได้รับการเหยียดหยามดูถูก กลายมาเป็นสองฮีโร่สำคัญในยามที่แมนยูต้องการ นี่คือค่ำคืนUCL ที่มี แฮรี่ แมกไกวร์ และ อังเดร โอนาน่า เป็นพระเอกอย่างแท้จริง!!!

ตลอดช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่เปิดฤดูกาล สิ่งที่เกิดขึ้นกับแมนยูไนเต็ดคือการเริ่มต้นฤดูกาลแบบไม่พึงประสงค์เท่าไหร่นัก จากผลการแข่งขันที่ไม่ดีในหลายๆนัด โดยเฉพาะสามนัดที่พลาดแพ้คาบ้านกับการเจอ ไบรท์ตัน พาเลซ และ กาลาตาซาราย สถานการณ์ของทีมจึงค่อนข้างกดดันมากๆ แฟนบอลหลายๆคนก็ผิดหวังที่ทีมไม่เป็นไปอย่างที่ฝันไว้

ประกอบกับเรื่องที่การเล่นของทีมเราเองมักจะมีปัญหาที่สร้างความผิดพลาดขึ้นมาเองบ่อยๆ กับเกมรับที่เสียกันง่ายๆอย่างที่ไม่ควรเสีย เป็นกันหนักๆในช่วงตั้งแต่ที่นักเตะเราเริ่มพลาดกันเอง โอนาน่ารับผิดพลาด และแนวรับเสียประตูกันง่ายๆ ทำให้หลายๆเกมที่เกิดขึ้นกลายเป็นผลลัพธ์ที่ไม่ควรจะเป็น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในUCL สองนัดแรกกับบาเยิร์นมิวนิค และ กาลาตาซาราย ปัญหาคือเกมรับที่เหลวเป๋วและผิดพลาดกันเอง คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมมีปัญหาอย่างมาก กับบาเยิร์นเราอุตส่าห์ยิงได้ถึง 3 ลูกแต่ก็ยังแพ้ ส่วนเกมกับกาลาตาซาราย เห็นใจฮอยลุนด์ที่ยิงได้แล้วยิงได้อีก แต่ก็ไม่พอจะทดแทนที่เราเสียประตู และแพ้คาบ้านไป 2-3

สถานการณ์ของแมนยูไนเต็ดในยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ถึงอยู่ในสถานะหลังชนฝา ก่อนที่เกมกับโคเปนเฮเก้นในคืนนี้จะเริ่มขึ้น

มาดูที่สถานการณ์ในพรีเมียร์ลีก ปัญหาอาการบาดเจ็บของทีม พรากนักเตะคนสำคัญๆออกไปจากทีมหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองตัวหลักที่จำเป็นอย่างมากต่อ "ทรงบอล" ของทีม ทั้ง ลุค ชอว์ และ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ที่บาดเจ็บยาวทั้งคู่ ทำให้ทีมเสียทรงไปค่อนข้างเยอะ ทั้งในภาคการครองบอล การตั้งเกม ที่สองคนนี้เป็นตัว build-up หลักของทีมซะด้วยซ้ำ 

ในแต่ละเกม การสร้าง ball progression ขึ้นหน้า แทบจะทุกนัดก็จะมีมาร์ติเนซ ชอว์ ที่เป็นตัวทำเกมจากแผงหลังให้ทีม ทำให้บอลมีการลำเลียงขึ้นหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ(อย่างที่ควรจะเป็น) การเริ่มครองบอลขึ้นเกมจากแผงหลังถือเป็นอาวุธหลักในปรัชญาฟุตบอลของเทน ฮาก ที่ต้องการในจุดนี้

เมื่อทีมขาดตัวครองบอลเก่งๆอย่างลิช่า และ ชอว์ไป งานก็งอกทันที คุณภาพในการครองบอลของทีม ดรอปตามลงไปด้วย ทั้งที่ปีก่อนก็เก็บบอลทำเกมได้ดี

นอกจากนี้แล้วเรื่องของการเปลี่ยนระบบแทคติกในทีม จาก 4-2-3-1 ปีก่อน กลายเป็นความพยายามที่จะใช้คู่มิดฟิลด์8s ในแผน 4-3-3 ที่โหลดตัวเล่นขึ้นหน้าด้วย ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้ทรงของทีมอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านแผน และพยายามปรับจูนกันอยู่จนถึงตอนนี้

สถานการณ์ในลีกช่วงก่อนหน้านี้จึงค่อนข้างย่ำแย่ ยูไนเต็ดก็จมอยู่กลางตารางในอันดับ 10 ด้วยการที่มีคะแนนเลขตัวเดียว พร้อมทั้งประตูได้เสียที่ติดลบ

ตัวหลักก็เจ็บ โอกาสจะขึ้นไปลุ้นกับทีมท็อปๆก็ลดน้อยลงไปแล้ว สถานการณ์ของทีมไม่ดีเอาซะเลย

แต่ดูเหมือนว่า ท่ามกลางความย่ำแย่นี้ จะกลายเป็นโอกาสของนักเตะบางคนที่ค่อยๆเรียกฟอร์มกลับมาได้ และเริ่มกลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ "สถานการณ์" มันกระเตื้องขึ้นมากในตอนนี้

ก็แฮรี่ แมกไกวร์ กับ อังเดร โอนาน่า นั่นแหละครับ สองนักเตะที่ถูกโจมตีจากแฟนบอลต่างๆทั้งทีมเราเองและทีมอื่น ตอนนี้พวกเขากลายเป็นคนสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ของทีมดีขึ้นมาก ทั้งในลีก และในบอลถ้วยUCL

แฮรี่ แมกไกวร์ คือนักเตะที่ถูกเอริค เทน ฮาก ดรอปยาวๆตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว ตอนที่ความมั่นใจหดหายขณะเป็นกัปตันทีม และเล่นผิดพลาดจนทีมต้องกลับบ้านก่อนในถ้วยยุโรปอย่างยูโรปาลีก

ปลอกแขนกัปตันถูกยึดแบบไม่เหลือตำแหน่งรองกัปตันเอาไว้ให้ พร้อมอัปเปหินั่งสำรองแบบเต็มๆยาวๆ โอกาสลงสนามแทบไม่เหลือในยามที่ มาร์ติเนซ วาราน ฟิตพร้อมลง แมกไกวร์กลายเป็นกองหลังอันดับ 4 ตามหลังคิวของ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ซะด้วยซ้ำ

ในช่วงซัมเมอร์เกือบจะได้ย้ายทีมไปเวสต์แฮม แต่ทุกอย่างไม่ลงตัว ดีลก็ไม่เกิดขึ้น ขณะที่เจ้าตัวเองก็ยืนยันว่าพร้อมสู้แย่งตำแหน่งและพิสูจน์ตัวเองที่นี่

เมื่อดีลไม่เกิด เจ้าตัวก็ต้องยังอยู่ และอยู่ในสภาพนักเตะสำรองของทีมที่ไร้โอกาสจะลงสนาม แต่ในระหว่างที่ได้แต่นั่งดูเพื่อนอยู่จากข้างสนาม แฮรี่ แมกไกวร์ ไม่เคยปริปากบ่น ไม่เคยพูดอะไรไม่ดี ไม่เคยปฏิบัติอะไรแย่ๆ การกระทำของเขาคือตัวบ่งบอกจริงๆว่า "มืออาชีพ" ต้องเป็นแบบนี้

ไม่ว่าจะกับสายอาชีพไหนก็ตาม มืออาชีพจะต้องรับมือให้ได้กับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ และมีหน้าที่ทำงานในส่วนของตนต่อไป จนกว่าจะถึงเวลา และจนกว่าโอกาสจะมา

แฮรี่ แมกไกวร์ ต้องใช้ความอดทนสูงมากต่อสถานะในทีมของเขา, แรงเสียดทานจากภายนอกก็ยังคงมีอยู่ แต่ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะยังอยู่กับมันได้ด้วยความเข้มแข็งทางจิตใจอย่างมากชนิดที่เรียกว่า เจอแบบนี้แล้วยังไม่ "เป๋" ก็ค่อนข้างปาฏิหาริย์ และเป็นตัวที่บ่งบอกว่าหัวจิตหัวใจของแมกไกวร์นี่แข็งแกร่งชนิดที่เรียกว่าน่าทึ่งเลย

ทั้งที่โดนบูลลี่ โจมตี และต้องรับความเกลียดชังตลอดเวลาจากกระแสรอบข้าง แต่แฮรี่ แมกไกวร์ เหมือนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่นิ่งและแข็งแกร่งมากๆ ยืนหยัดทำในสิ่งที่ตัวเองต้องทำต่อไป คำทำร้ายต่างๆเป็นเพียงแค่หยดน้ำที่ถูกรดราดมาบนหินเท่านั้น

ใช่ น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันก็กร่อน แต่แมกไกวร์ก็เป็นหินก้อนใหญ่มากที่คงยืนหยัดสู้กับหยดน้ำเหล่านั้นได้อีกนานชนิดที่เรียกว่า I can do this all day แน่ๆ

สุดท้าย ความอดทนของเขาก็ผลิดอกออกผล โอกาสพิสูจน์ตัวเองมันมาถึงจริงๆ เมื่อสถานการณ์มันบีบบังคับให้เอริค เทน ฮาก ต้องใช้งานแมกไกวร์ลงสนามจากการที่กองหลังหลายๆคนของทีมบาดเจ็บไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาร์ติเนซตัวหลัก ที่เจ็บยาว, ลุค ชอว์ ที่ทดแทนในตำแหน่ง CB ได้ก็มาเจ็บไปด้วย, วารานเองก็ออดๆแอดๆ เจ็บพักบ่อยเช่นกัน

พอเป็นแบบนี้ กองหลังตัวเซ็นเตอร์ของทีมจึงเหลือแค่ แมกไกวร์ ลินเดอเลิฟ อีแวนส์ ทีมก็ดันมาเสียแบ็คซ้ายออกไปทั้งหมดซะอีก มีสามตัวเจ็บหมดสามตัว มาลาเซียที่เจ็บยาว และ เรกีลอน ที่เจ็บไปก่อนหน้านี้

สุดท้ายแล้ว กลายเป็น อัมราบัต และ ล่าสุด ลินเดอเลิฟ ไม่มีทางเลือกต้องมาเล่นแบ็คซ้ายจำเป็นให้กับทีม เพราะเขามีความคล่องตัวในการเล่นสูง สามารถจับมาเล่นแบ็คได้ 

กลายเป็นว่า โอกาสมาถึงกองหลังลำดับ 4 ลำดับ 5 ของทีมเราอย่าง แฮรี่ แมกไกวร์ รวมถึง จอนนี่ อีแวนส์ในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค

ดูจากชื่อแล้ว แฟนๆกังวลแน่นอนที่เห็นกองหลังคู่เป็น แมกไกวร์ + อีแวนส์ ดูแล้วไม่น่ารอด คนนึงก็ฟอร์มตก อีกคนก็อายุเยอะมากแล้ว กองหลังตัวอื่นเจ็บหมด เจ็บไปแต่ตัวหลักเก่งๆทั้งนั้น 

แต่กลายเป็นว่า แฮรี่ แมกไกวร์ รวมถึง จอนนี่ อีแวนส์ ที่ลงสนามมา กลับโชว์ผลงานคู่กันด้วยฟอร์มการเล่นที่ดีมากจนน่าตกใจ

จากจุดเริ่มต้นที่ทีม "ไม่มีตัวเล่นจะลงสนาม" (จนต้องไปพาตัวนักเตะที่ถูกลดระดับไปเป็นสำรองถาวรอย่างแมกไกวร์ลงสนาม) กลายเป็นหนึ่งในตัวผู้เล่นที่ "ฟอร์มดีที่สุดของแมนยู" ในช่วงระยะหลัง

แฮรี่ แมกไกวร์ ระเบิดฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดของเขาออกมาอีกครั้ง ให้แฟนแมนยูแฟลชแบ็คไปถึงช่วงปีแรกที่เขามาแล้วแบกกองหลังของทีมเอาไว้ชนิดที่เรียกว่า ขาดแฮรี่เหมือนขาดใจ ฟอร์มที่ว่ามันกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ชัดเจนมากๆก็คือสองนัดหลังสุด (จริงๆก่อนหน้านั้นก็ทำได้ดีด้วย ไม่มีความผิดพลาดส่วนตัวเงอะๆงะๆเหมือนที่เคยเป็นมา)

ทั้งที่เกมแพ้กาลาตาซาราย 2-3 แมกไกวร์เป็นแค่สำรอง นั่งอยู่เฉยๆบนม้านั่ง ไม่ได้โอกาสลงสนามเสียด้วยซ้ำ!

ในนัดต่อมา การเปิดบ้านเจอกับเบรนท์ฟอร์ด ทีมเริ่มกลับมาเรียกโมเมนตัมสำคัญจากสองประตูแซงในช่วงทดเจ็บแบบ "แมนยูๆ" ของแม็คโทมิเนย์ นัดนั้นแฮรี่ แมกไกวร์ โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ลงสนามเป็นตัวจริงของเกมในนัดนั้น และที่สำคัญ เขาคือคนที่เติมขึ้นไปโหม่งตั้งเป็นแอสซิสต์ให้ประตูโกงตายของแม็คโทมิเนย์พาแมนยูเก็บสามแต้มแบบโคตรระห่ำเป็ดอย่างเหลือเชื่อ ฟีลคล้ายเกมที่ชนะบาเยิร์นปีสามแชมป์แบบสุดๆ

ยิ่งเกมชนะเชฟฟิลด์ยูไนเต็ด 1-2 ที่ผ่านมาเมื่อวันเสาร์ นั่นคือฟอร์มที่ดีที่สุดของแฮรี่ แมกไกวร์ ที่เล่นได้แบบโคตรเว่อร์มากๆ ทั้งเกมรับ และการออกบอลตั้งเกมให้ทีม 

เกมรับแมกไกวร์อ่านจังหวะขาดทุกช็อตในสนาม พุ่งเข้ามาโหม่งสกัดบอลจนหัวถลอกตลอดทั้งเกม มันไม่ใช่แค่เพราะเขาตัวใหญ่แย่งบอลโด่งเก่ง แต่มันคือการอ่านเกมของเขาที่สังเกตการเล่นบอลไดเร็คต์ของเชฟยูฯ และพุ่งเข้ามาชิงจังหวะเทคตัวเอาชนะได้ทุกครั้ง บอลโด่งเสร็จแกหมด

ขณะที่การออกบอล แมกไกวร์จ่ายบอลแม่นเว่อร์มากนัดนั้น เปิดบอลทำเกมรุกด้วยการวางขึ้นหน้าไปถึง Final Third ให้เพื่อนได้บอลอย่างแม่นยำ เป๊ะสุดๆทั้งน้ำหนักและทิศทางยิ่งกว่าจับวาง แจกบอลไปทั่วแมพเลยวันนั้น จนทำให้เพื่อนสามารถเปิดเกมบุกใส่คู่แข่งเพื่อสร้างโอกาสยิงได้เรื่อยๆ

และล่าสุดเกมเมื่อคืนนี้ ที่ยูไนเต็ดฟอร์มย่ำแย่มากๆในภาพรวม โดยเฉพาะครึ่งแรก การครองบอล การตั้งเกม การจบสกอร์และครีเอทเกมรุก ค่อนข้างที่จะต่ำกว่ามาตรฐานมากๆ สิ่งเดียวที่ยังดีอยู่ของแมนยูเมื่อคืน คือ "เกมรับ" ที่แข็งแกร่งแบบสุดๆ เพราะการที่แม้ว่าทีมจะบุกกันห่วยใช้โอกาสเปลืองน่าเกลียด แต่ตราบใดที่คู่แข่งอย่างโคเปนเฮเก้นยังยิงเราไม่ได้ โอกาสชนะก็จะอยู่ที่เราเสมอ

และแฮรี่ แมกไกวร์ รวมถึงเพื่อนๆในแนวรับอีกสามคนอย่าง วาราน ดาโลต์ และ ลินเดอเลิฟ ช่วยกันเล่นเกมรับกันคนละไม้คนละมือได้น่ายกย่องมากๆ จนโคเปนเฮเก้นไม่สามารถยิงได้ รวมถึงการระเบิดฟอร์มสุดสวยที่เซฟลูกยากของอังเดร โอนาน่า ที่ทำให้เราคลีนชีทจนจบเกม และได้สามแต้มสำคัญวันนี้

เกมรับว่าดีแล้ว แต่วันนี้ แฮรี่ แมกไกวร์ ขึ้นมาเป็นเพชฌฆาต โขกลูกเปิดบอลที่โค้งเหมือนเบ็คแฮมของคริสเตียน เอริคเซ่น โหม่งเข้าไปได้สำเร็จ ในวันที่แนวรุกเล่นกันน่าเกลียดมากที่ทิ้งโอกาสทองกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายต้องให้กองหลังอย่างแมกไกวร์ขึ้นมาทำประตูให้ และเป็น 1 ลูกที่สำคัญระดับต่อลมหายใจให้ทีม เพราะถ้าวันนี้ไม่มีประตูของแมกไกวร์ สามแต้มและโอกาสในการได้ลุ้นจะเข้ารอบต่อบนเวทีUCLจะหายไปทันที

จะเห็นว่า แฮรี่ แมกไกวร์ มาถึงจุดๆนี้ได้ เป็นเพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มันบังคับให้ทีมจะต้องใช้งานเขาจริงๆ ยามที่ไม่เหลือ "กองหลัง" จะเล่นอีกแล้ว จากคนที่ถูกเมินไว้ลำดับท้ายๆ แต่ด้วยความตั้งใจทำหน้าที่ของตนเองไปเรื่อยๆไม่มีปัญหาใดๆกับทีม ยังคงมีทัศนคติที่ดีอยู่ตลอด

ผลตอบแทนตรงนี้ของแฮรี่ แมกไกวร์ จึงออกมาในรูปแบบของ "โอกาส" ที่มันเกิดขึ้นแก่เขาจนได้ ทั้งๆที่ดูไม่น่าจะมีโอกาสแล้ว แต่มันก็เกิดขึ้นมา

และสิ่งที่ดีกว่าคือ เมื่อโอกาสมา เขาก็คว้ามันได้สำเร็จ กลับมาพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่า คุณภาพการเล่นที่แท้จริงของเขามันก็ยังมีอยู่ในตัวอยู่ และเขาสามารถช่วยเหลือทีมได้จริงๆในยามที่เราต้องการ

ฟอร์มและความมั่นใจตอนนี้ คือแมกไกวร์คนเดิมที่เคยแบกทีมเราในช่วงเวลาหลายปีก่อนหน้านี้ กลายเป็น "ตัวแบก" ของแมนยูไนเต็ดในช่วงหลายเกมหลังจนกระทั่งสถานการณ์ของทีมมันดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมากๆ ถ้าไม่ได้แมกไกวร์ ป่านนี้ยูไนเต็ดอาจจะพังพาบไปแล้ว ทั้งในเกมลีก และความหวังจะลุ้นเข้ารอบน็อคเอาท์UCL

นี่คือฮีโร่อย่างแท้จริง

โคตรหล่อ หล่อทั้งการกระทำ และ วีรกรรมในสนาม หัวใจในรูปนี้เขาคงได้รับมันจากแฟนบอลแล้วอย่างแน่นอน

อังเดร โอนาน่า เจ้าตัวคือหนึ่งคนที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเขาเองมีส่วนที่การเล่นผิดพลาดเกิดขึ้นมาเช่นกัน หลายๆคนก็คงจะจำลูกเซฟซองแตกได้ และอีกหลายๆช็อตที่ควรเซฟลูกยิงที่ไม่ได้ไกลตัวเลย แต่กลับไม่สามารถป้องกันประตูให้ทีมสำเร็จ รวมถึงจังหวะการออกบอลพลาดง่ายๆที่ทำให้ทีมเสียหายจนเสียจุดโทษ

รายของโอนาน่านี่หนักหน่อย เพราะถูกเพ่งเล็งมาตั้งแต่แรกแล้ว บางคนยังไม่เข้าใจว่าเอริค เทน ฮาก ซื้อโอนาน่าเข้ามาเพื่ออะไร ทำไมไม่ต่อสัญญา ดาวิด เดเคอา 

จุดหนึ่งที่อังเดร โอนาน่า โดนเพ่งเล็งและมีความคิดที่ "เป็นลบ" เข้ามาหาเค้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการจากไปที่ไม่ดีของเดเคอาด้วย ทำให้โอนาน่าตกเป็นเป้าระบายอารมณ์ และถูกจับตามองด้วยความรู้สึกที่จ้องจะหาจังหวะด่ากันอยู่แล้วตั้งแต่แรก เมื่อถึงเวลาที่มันเกิดความผิดพลาดขึ้นมาจริงๆก็แน่นอนว่า

เละ

ตัวของโอนาน่าเองถือว่าเป็นนักเตะใหม่กับพรีเมียร์ลีก ที่ต้องปรับตัวเข้ากับฟุตบอลอังกฤษให้มากกว่านี้ รวมถึงยังใหม่ต่อการเป็นนักเตะที่อยู่ในแสงไฟของทีมระดับท็อปที่ถูกขายข่าวหารับประทานกันอย่างสนุกสนานของสื่อ อะไรนิดอะไรหน่อยสามารถขายได้หมด โดยเฉพาะเรื่องแย่ๆ ยิ่งมีอะไรไม่ดียิ่งเข้าทาง

นั่นคือสิ่งที่โอนาน่าจะต้องรับมือ และดูเหมือนว่าตัวเขาเองก็เจอกับแรงกดดันตรงนี้มากพอสมควร สิ่งที่สะท้อนออกมามันคือความผิดพลาด และการเล่นที่ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น

เหมือนคนที่ความมั่นใจหมดลงไปทีละนิดๆ

ทางเลือกของเอริค เทน ฮาก มีสองอย่าง อย่างแรกคือ ในเมื่อให้โอกาสเรียกความมั่นใจแล้วแต่ก็ยังคว้าไว้ไม่ได้ ก็มีแต่จะต้องลองดรอป แล้วให้โอกาส อัลทาย บายินดิช์ บ้างเพื่อความยุติธรรม ให้โอนาน่าไปลดแรงกดดัน และไปทบทวน เร่งฟอร์มตัวเองด้วย นั่นคือวิธีแรก

วิธีที่สองก็คือ ยังเชื่อมั่นและให้โอกาสต่อไป แม้ฟอร์มไม่ดี แต่ความสามารถของเขาชัดเจน แถมถ้าดรอปซี้ซั้วอาจจะเสียความมั่นใจหนักขึ้นไปอีก (เจ้าตัวก็เป็นคนที่คิดอะไรเยอะพอสมควร สังเกตจากการให้สัมภาษณ์) ก็ต้องส่งลงไปจนกว่าจะดี และเรียกฟอร์มกลับมาได้

เทนฮากเลือกวิธีที่สอง คือให้โอกาสต่อ จนกว่าเขาจะเรียกฟอร์มดีๆออกมาสำเร็จ

และดูเหมือนเอริคจะคิดถูก อังเดร โอนาน่า ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆในเกมหลังๆ เรื่องการออกบอลด้วยเท้าไม่ค่อยห่วง อันนี้ดีตามมาตรฐานปกติ ส่วนลูกเฟอะฟะที่ก่อความผิดพลาดส่วนตัวเริ่มไม่มีแล้ว ลูกยิงของคู่แข่งที่ควรเซฟได้ เขาเซฟได้ทั้งหมด ลูกที่อันตรายๆก็เซฟได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเวลาผ่านไป ความผิดพลาดส่วนตัวที่เคยมีค่อยๆหายไป และเขาใช้โอกาสที่ได้รับอย่างคุ้มค่าด้วยการเซฟลูกยากๆในจังหวะสำคัญๆให้ยูไนเต็ดได้ทั้งหมด ทำให้เราเห็นว่าอย่างน้อยเรื่องการเซฟและการใช้มือ อังเดรก็พอที่จะฝากความหวังหรือเซฟได้บ้าง 

จนกระทั่งวันนี้ เมื่อคืนนี้ อังเดร โอนาน่า มาถึงจุดที่เริ่มจะพิสูจน์ตัวเองให้แฟนบอลได้ยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในจังหวะการบินปัดมือเดียวในลูกยากที่ Lerager ยิงเข้ากรอบมา แต่เขาบินมือเดียวปัดออกมาแบบใจหายใจคว่ำที่แฟนบอลหลายคนก็นึกว่าโดนซะแล้ว

และช็อตสำคัญของเมื่อคืน การโดนจุดโทษในนาทีสุดท้ายช่วงทดเจ็บของแม็คโทมิเนย์ มันเป็นเหมือนเหวนรกที่พาปีศาจแดงยืนอยู่ปากเหวแล้ว เพราะถ้า Larsson ยิงเข้าไปได้ โอกาสในการลุ้นเข้ารอบของแมนยูก็แทบจะหมดทันที เพราะปีศาจแดงจะเหลือแค่ 1 แต้มจาก 3 เท่านั้น และจำนวนเกมที่เหลือน้อยลงไป จะทำให้โอกาสตกรอบUCLมีสูงมากถ้าจุดโทษลูกนี้เข้า

แต่...

สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นแบบที่ว่า บ่อยากเชื่อสายตาว่าภาพตรงหน้าจะเป็นความจริง อังเดร โอนาน่า โชว์โคตรซูเปอร์เซฟที่บินปัดลูกจุดโทษออกไปอย่างที่แฟนบอลก็ช็อค หลายๆคนรวมถึงผู้เขียนก็ยอมมอบตัว และทำใจตกรอบแล้วตั้งแต่กรรมการยืนยันว่าเป็นจุดโทษ

และเอาจริงๆถ้าลูกนี้โกลจะเซฟไม่ได้ก็ไม่ผิดอะไรเลย เพราะยังไงจุดโทษโอกาสเข้ามันสูงอยู่แล้ว  

ลูกนี้เป็นเหมือนลูกตัดสินชะตาแมนยูในUCLจริงๆ ถ้ายิงเข้าไปคือจบเหมือนกัน แต่ลูกนี้ อังเดรบินมาเซฟแบบสวยๆคลีนๆ ไม่มีข้อใดกังขา ปัดลูกจุดโทษนาทีสุดท้ายทำให้แมนยูมีสามแต้มเต็มจากโคเปนเฮเก้น และได้ลุ้นเข้ารอบUCLต่อไปในอีก 3 นัดที่เหลือ

ลูกเซฟนี้ช่วยทำให้แมนยูกลับมาอยู่ในเกมอีกครั้ง แถมมีโอกาสที่จะพลิกโมเมนตัมด้วย ทั้งๆที่ถ้าเซฟไม่ได้ วันนี้แมนยูเสมอ ทุกอย่างก็แทบจะจบลงแล้วในทางปฏิบัติ

มันคือลูกเซฟต่อชีวิตที่เกิดขึ้นแบบปาฏิหาริย์ซึ่งแฟนบอลหลายคนถอดใจยอมแพ้ไปแล้ว แต่กลับเซฟได้อย่างไม่น่าเชื่อ แถมมาในนาทีสุดท้าย สไตล์แมนยูจัดๆเลยอีกด้วย

เป็นหนึ่งในการเซฟจุดโทษที่สถานการณ์ทุกอย่างมันโคตรสุด ลูกนี้โอนาน่าโคตรเอา เมื่อรวมกับลูกเซฟที่ทำได้ในจังหวะโอเพ่นเพลย์เกมนัดนี้ ก็ยิ่งทำให้มั่นใจว่าลูกเซฟจุดโทษนี้ก็ไม่ได้ฟลุค มันมาจากคาแรคเตอร์อันแข็งแกร่ง และฟอร์มที่ยอดเยี่ยมของโอนาน่านั่นเอง

เขากลายเป็น "ฮีโร่" จริงๆแล้วในเกมคืนนี้ 

จะเห็นได้ว่า สถานการณ์ต่างๆ มันสร้าง "วีรบุรุษ" อย่างพวกเขาขึ้นมา

สถานการณ์ที่ทีมมีแต่นักเตะตัวหลักเจ็บออกไปเกินครึ่ง ทั้งชอว์ มาร์ติเนซ วาราน รวมถึงอีกหนึ่งกองหลังอย่างวานบิสซาก้าด้วย แฮรี่ แมกไกวร์ ได้รับโอกาสลงสนามแบบเต็มๆเพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเขาก็ทำได้ดีในการคว้าโอกาสนี้ได้สำเร็จ

พิสูจน์ตัวเองกับแฟนบอลด้วยการกระทำ ไม่ใช่คำพูด

สิ่งที่เขาแสดงออกมามันน่าชื่นชมมาก และเมื่อทำได้สำเร็จตามที่วาดหวังไว้ก็ต้องชื่นชมกัน

สถานการณ์ของทีมที่กำลังจะหมดลุ้นในUCLแบบรอมร่อ โดนจุดโทษที่เป่าให้ง่ายๆในช่วงท้ายเกม ทั้งที่เกมกำลังจะจบ โอนาน่าต้องมารับหน้าที่เซฟในช็อตที่กำลังจะฆ่าให้แมนยูหมดลุ้นUCLอย่างถาวรในฤดูกาลนี้

จากจุดที่เขาเคยมีส่วนทำให้ทีมเสียประตูในเกมก่อนๆ มาวันนี้เขาคือผู้ที่เซฟชะตาชีวิตของแมนยูให้ยังสามารถลุ้นต่อได้ในช่วงสามเกมสุดท้าย

วันนี้โอนาน่า พิสูจน์ตัวเองกับแฟนบอลให้ได้เห็นแล้ว ทั้งแฟนส่วนที่ให้กำลังใจเขา และแฟนส่วนที่เกลียดและไม่สนับสนุนก็ตาม 

แม้เหล่า Haters จะไม่ค่อยถูกใจสิ่งนี้สักเท่าไหร่ที่โอนาน่าเซฟได้ แต่พวกเขาก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกันที่จะต้อง "เห็น" ในสิ่งที่โอนาน่าทำได้ แม้จะยังคงไม่สามารถเปลี่ยนใจพวกเขาได้ แต่อย่างน้อยลูกเซฟลูกนี้ก็สำคัญกับทีมมากๆระดับพลิกชะตาชีวิต และมันเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะหาอะไรมาด่าได้เช่นกัน

ก็ได้แต่หวังว่าคนที่ปิดใจ อาจจะเริ่มมองเห็นศักยภาพที่แกมีอยู่ในตัว และหันมาให้กำลังใจกันบ้าง

สองคนนี้คว้า "โอกาส" เอาไว้ได้สำเร็จ พาแมนยูไนเต็ดกลับมาสู่เส้นทางที่ดีที่สุดอีกครั้ง และพวกเขาทั้งคู่ ก็คู่ควรกับการได้รับกำลังใจดีๆจากแฟนบอลจริงๆ

หมดเวลาสำหรับ Toxic Contents แล้ว นี่คือห้วงเวลาแห่งความเป็นวีรบุรุษ

#BELIEVE

-ศาลาผี-


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด