:::     :::

4-4-2 ไดมอนด์กับมุมลบที่ซ่อนอยู่

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
คืนวันศุกร์ มีแฟนเพจเจมส์ ลา ลีกา ถามเข้ามาว่ามีความคิดเห็นอย่างไรกับระบบ 4-4-2 ไดมอนด์ของ คาร์โล อันเชล็อตติ ในฤดูกาลนี้ มีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง ? ยังไม่ทันจะได้เขียนเล่าเป็นบทความ คืนวันอาทิตย์ มาดริด ก็สะดุดเสมอ ราโย บาเยกาโน่ 0-0 และนั่นมันได้ปอกเปลือยให้เห็นปัญหาบางส่วนของทีมชุดนี้กับระบบใหม่ของพวกเขา

ก่อนเจอ ราโย บาเยกาโน่ ทีมดูดีทีเดียว นำเป็นจ่าฝูง เพิ่งชนะศึก เอล กลาซีโก้ เหนือ บาร์ซ่า แถม จู๊ด เบลลิ่งแฮม ดาวเตะค่าตัว 103 ล้านยูโรก็ยิงกระจาย 13 ประตูจาก 13 เกม ซึ่ง อันเชล็อตติ ให้สัมภาษณ์ว่ามีโอกาสจะทะลุถึง 23-25 ลูกสบายๆ 


หลังเกมเสมอ ราโย แบบโน สกอร์ ผมก็ยังมองการปรับระบบของ อันเชล็อตติ ว่าเวิร์คอยู่ จาก 4-3-3 มาเป็น 4-4-2 โดยภาพรวม ถือว่ากุนซืออิตาเลี่ยนทำได้เยี่ยม 

กับ อันเชล็อตติ โดยส่วนตัว ผมชื่นชมเป็นพิเศษ ตรงที่เป็นเทรนเนอร์ที่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้เก่งใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในมือได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากยิ่ง


เทรนเนอร์โดยส่วนใหญ่มักจะมาพร้อมกับไอเดียของตัวเอง เมื่อเข้ามาทำทีมก็จะเลือกสรรเฉพาะนักเตะที่เข้ากับแผนของตัวเอง ถ้าตำแหน่งไหนขาด ส่วนใหญ่ก็ขอให้บอร์ดซื้อเข้ามา ไม่ค่อยยอมปรับระบบเข้าหานักเตะเหมือนที่ อันเชล็อตติ ทำ 


การย้ายไปของ คาริม เบนเซม่า ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อบอร์ดไม่เดินเครื่องซื้อกองหน้าเกรด เอ มา อันเชล็อตติ จึงต้องขบคิดว่าจะนำทีมไปต่อยังไง 



ผมถามประเด็นนี้กับ กาอิซก้า เมนดิเอต้า ตำนานบาเลนเซียซึ่งปัจจุบันเป็นแอมบาสซาเดอร์ของ ลา ลีกา ในการสัมภาษณ์ส่วนตัวที่ตึกสยามสปอร์ต สัปดาห์ก่อน 


เมนดิเอต้า คาดว่า แรกทีเดียว อันเชล็อตติ น่าจะไม่มั่นใจว่าจะเล่นยังไงกับแนวรุกที่เหลืออยู่ เพราะการย้ายออกไปของ เบนเซม่า นั้นอยู่เหนือการคาดการณ์ มันไม่ได้อยู่ในแผนของ มาดริด การมาของ โฆเซลู ไม่น่าจะทำให้เขามั่นใจนัก จึงหันไปปรับแก้ที่แผงมิดฟิลด์ที่มี จู๊ด เบลลิ่งแฮม เพิ่มเข้ามาแทน 


ทุกอย่าง มันน่าจะเริ่มจาก อันเชล็อตติ เห็นศักยภาพในตัวของ จู๊ด ทำให้เขาตกผลึกได้ว่า “ควรจะเล่นอย่างไร ?” 

นี่อาจจะเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงจาก 4-3-3 มาเป็น 4-4-2 เมื่อ เบนเซม่า ไม่อยู่ และ โฆเซลู ก็เป็นกองหน้าที่แตกต่างออกไป อันเชล็อตติ จึงตัดสินใจมอบบทบาทสำคัญในทีมให้ จู๊ด 

มันยอดเยี่ยม เมื่อสิ่งที่ อันเชล็อตติ คิดไว้ในหัวมัน ออกมาเป็นผลงานในสนามที่ร้อนแรงของ จู๊ด

ทว่าที่ไหนมีแสงที่นั่นย่อมมีเงา ขณะที่ดาวเตะอังกฤษเปล่งประกาย เป็นเวลาเดียวกันที่ผู้เล่นแนวรุกคนอื่นค่อยๆอับแสง ลดความโดดเด่นลง 


มีสถิตินึงที่ มาดริดิสต้า มองแล้วก็ให้รู้สึกยอดเยี่ยม เมื่อ จู๊ด มีเปอร์เซนต์การมีส่วนร่วมกับประตูของ เรอัล มาดริด ในฤดูกาลนี้สูงแซงหน้าฤดูกาลที่ดีที่สุดของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ คาริม เบนเซม่า ไปแล้ว 


ท็อปสุดของ CR7 เกิดขึ้นในฤดูกาล 2015-16 ยิง 51 ประตู/15 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 48 เกม เทียบกับจำนวนประตูทั้งหมดที่ทีมทำได้รวมทุกรายการ 141 ประตู คิดเป็น 46.8% 

‘คิงคาริม’ ท็อปสุดของเขาคือซีซั่น 2021-22 ยิง 44 ประตู/15 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 44 เกม เทียบกับจำนวนประตูทั้งหมดที่ทีมทำได้รวมทุกรายการ 119 ประตู คิดเป็น 49.6 % 

ส่วน จู๊ด ฤดูกาลนี้ทำไปแล้ว 13 ประตู กับ 3 แอสซิสต์ เมื่อนำไปเทียบกับ 29 ประตูที่ทีมทำได้ เท่ากับว่าอดีตแข้งดอร์ทมุนด์คนนี้มีส่วนร่วมกับประตูของทีมสูงถึง 55.2% 



55.2% นับเป็นตัวเลขที่สูงมากๆ มันอาจไม่แปลกนักสำหรับทีมระดับกลางถึงเล็กที่ทั้งทีมมีสตาร์อยู่คนนึงผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ทว่ามันเกิดขึ้นไม่บ่อยนักกับทีมระดับท็อปที่อุดมไปด้วยแข้งระดับเวิล์ดคลาส


ในมุมของ จู๊ด มันดีออย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งคนที่ตัดสินใจซื้อเขาเข้ามา รวมถึงคนที่ออกแบบระบบการเล่น ล้วนสมควรได้รับเครดิต แต่กับภาพใหญ่มันก็มีส่วนที่น่าห่วงอยู่เหมือนกัน 

มาถึงตรงนี้ ผมคิดว่าคุณผู้อ่านน่าจะรู้แล้วว่าผมกำลังจะบอกอะไร ?


ในเกมเสมอ ราโย บาเยกาโน่ 0-0 จริงๆ จู๊ด ไม่ใช่เล่นไม่ดี เขาเล่นดีที่สุดคนนึงของทีมเลยล่ะ เพียงแต่เมื่อเขายิงไม่ได้ ก็ดันไม่มีใครยิงได้เช่นกัน

หากตัวเลข 52.2% ยังไม่ชัดพอ ก็หันไปมองสถิติของ วินิซิอุส จูเนียร์ กับ โรดรีโก้ ดูก็ได้ครับ 

วินิ เวลานี้ยิงได้แค่ 3 ประตู (ลา ลีกา 2, ชปล.1) ส่วน โรดรีโก้ ยิง 2 ประตู (ลา ลีกา, 1ชปล.1) ส่วน โฆเซลู ยิงได้ 5 ประตู ถือเป็นตัวเลขที่ไม่เลว แต่เมื่อกองหน้าตัวหลัก 2 คนนัดกันแผ่ว แบบนี้สามารถเรียกว่าปัญหาได้แล้ว



ต่อคำถามในบรรทัดแรก “4-4-2 ไดมอนด์ของ อันเชล็อตติ ฤดูกาลนี้ มีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง ?”

ส่วนตัว ผมคิดว่าระบบนี้ ขับเน้นให้ จู๊ด ได้แสดงศักยภาพของตัวเองออกมาอย่างสูงสุดซึ่งมุมนึงมันส่งผลดีต่อทีมมากๆ มันช่วยให้ทีมไปต่อได้ในยามไร้ เบนเซม่า  


แต่ขณะเดียวกัน 4-4-2 นี้ก็น่ากังวลตรงที่ทำให้ วินิซิอุส กับ โรดรีโก้ มีบทบาทน้อยลง ผลิตสกอร์ได้ต่ำกว่ามาตราฐาน ต้องทำในสิ่งที่ไม่ถนัด

จากที่เคยเป็นปีกล่องลอยอยู่ริมเส้น มีพื้นที่ให้เล่น สามารถใช้ทักษะความเร็วอันเป็นจุดเด่นได้เต็มที่ ครั้นตัดเข้ามาตรงกลางก็มี เบนเซม่า คอยซัพพอร์ต ทำชิ่ง-จ่ายบอลให้ในตำแหน่งสวยๆ 


ปีนี้ วินิ กับ โรดรีโก้ ต้องขยับมาเล่นตรงกลางมากขึ้น อยู่ใกล้กับเซนเตอร์ฮาล์ฟคู่แข่งมากขึ้น มีพื้นที่ให้เล่นน้อยลง ขาดตัวซัพพอร์ต ไม่มีตัวชนกับกองหลังให้ เพราะ จู๊ด ไม่ได้เล่นแบบที่ เบนเซม่า เล่น


เห็นได้ว่า 2 หัวหอกบราซิเลี่ยนกำลังเผชิญปัญหาในการปรับตัว ซึ่งจากผลงานที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าทั้งคู่ยังปรับไม่สำเร็จ

จำนวนประตูของทีมไปกองรวมอยู่ที่ จู๊ด เสียส่วนใหญ่ ซึ่งระยะยาว ลำพัง จู๊ด คนเดียวคงไม่เพียงพอจะพา มาดริด ประสบความสำเร็จได้แน่ 

         


        ปีนี้ ลา ลีกา เห็นได้ว่ามาตราฐานทีมรองดูสูงขึ้น ขณะที่ แชมเปี้ยนส์ลีก ก็อุดมไปด้วยเสือ สิงห์ กระทิง แรด

  กระนั้นเรื่องนี้ เราอยู่เมืองไทยยังรู้  อันเชล็อตติ ไม่มีทางไม่รู้ หากแต่การแก้ปัญหาต้องอาศัยระยะเวลา 

ผมเชื่อว่า อันเชล็อตติ กำลังทำงานของตัวเองอยู่เพื่อให้คู่หูบราซิเลี่ยนของเขากลับมาเฉิดฉายเหมือนเช่นฤดูกาลก่อน แต่แก้ได้หรือไม่ ? ช้าหรือเร็ว อันนี้ตอบยาก 


เจมส์ ลา ลีกา 



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด