:::     :::

เรื่องเล่าลอนดอนเหนือ

วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2566 คอลัมน์ Zero to Hero โดย บังคุง
336
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
การโคจรมาเจอกัน ระหว่างอาร์เซน่อล กับสเปอร์ส

ถือเป็นการแข่งขันที่มีความดุเดือดเป็นอย่างมาก การปลุกเร้าจากแฟนบอล และศักดิ์ศรีที่ค้ำคอ ส่งผลให้นักเตะทั้งสองทีม หวดกันในสนามแบบไม่ยั้ง อารมณ์ร่วมเหล่านั้นเอง นำมาซึ่งใบเหลือง และใบแดงที่ปลิวว่อน ทั้งหมด เพื่อเป็นการแลกกับชัยชนะ


ความเข้มข้นดังกล่าว ส่งผลให้ “ดาร์บี้แมตช์ ลอนดอนเหนือ” กลายเป็นการเจอกันของคู่ปรับที่ทวีความรุนแรงมากสุดคู่หนึ่งในวงการลูกหนังผู้ดี แม้ช่วงหลัง ความสำเร็จของทั้งสองทีมจะลดน้อยลงไป แต่การเจอกันในแต่ละครั้ง ความดุดันไม่ลดน้อยลงไปเลย 


อย่างไรก็ตาม การฟาดฟันของทั้งสองทีม ไม่ได้เต็มไปด้วยความเกลียดชังไปเสียทั้งหมด ท่ามกลางความขัดแย้ง ยังคงมีเรื่องราวดีๆ และความอบอุ่นใจ ซุกซ่อนอยู่เช่นเดียวกัน โดยที่หลายเหตุการณ์สำคัญที่ อาร์เซน่อล และสเปอร์ส จับมือ และร่วมกันฝ่าฟันวิกฤติ 


ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนนักเตะของอีกฝ่าย หรือการช่วยกัน เพื่อช่วยเหลือสังคมที่กำลังพบเจอกับความยากลำบาก ช่วงนี้ เราขอพาไปย้อนความทรงจำ เกี่ยวกับเรื่องราวดีๆที่อาร์เซน่อล และสเปอร์ส ทำร่วมกัน  แฟนบอลจะได้รู้ว่า ฟุตบอลไม่ได้มีแต่มุมที่โหดร้ายเพียงอย่างเดียว 

เชื่อเหลือเกินว่า คงไม่มีใครไม่รู้เหตุการณ์ “เรือไททานิก” ที่อัปปางลงกลางมหาสมุทร ในวันที่ 15 เมษายน ปี 1912 เหตุการณ์ครั้งนั้น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,500 ราย และมีผู้รอดชีวิตเพียงหลัก 700 คน 


โศกนาฏกรรมหนนั้น ไม่เพียงเป็นความเจ็บปวดของทั้งโลกเพียงอย่างเดียว แต่เป็นความชอกช้ำของคนอังกฤษ เช่นกัน เพราะเรือไททานิก ถูกประกอบขึ้นที่ประเทศอังกฤษ ก่อนจะออกจากเมืองเซาธ์แฮมป์ตัน มุ่งหน้าสู่มหานครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา 


แน่นอนว่า การอัปปางของเรือไททานิก นำมาซึ่งความสูญเสียอย่างมากมาย โดยเฉพาะกับเครือญาติของผู้ที่เสียชีวิต บางคนเสียหัวเรือหลักของครอบครัว และบางคนเสียคนที่หาเงินมาจุนเจือ ทำให้ถูกความยากลำบากเข้ามาทักทาย 


ประมาณ 2 อาทิตย์ หลังจากเหตุการณ์ไททานิก อัปปางกลางมหาสมุทร - อาร์เซน่อล (ที่ตอนนั้นยังใช้ชื่อวูลวิช อาร์เซน่อล) จึงเกิดแนวความคิดขึ้นมา พวกเขาทำการชักชวนสเปอร์ส คู่แข่งในกรุงลอนดอน เพื่อมาเตะฟุตบอลด้วยกันที่สนามไวท์ ซิตี้ สเตเดี้ยม 


; ทั้งสองทีมวางความเป็นศัตรูลูกหนัง และการแข่งขันในสนามไปหมดแล้ว เพราะพวกเขามีหมุดหมายบางอย่างที่สำคัญกว่า จุดประสงค์ทั้งหมด เพื่อเป็นการหาเงินมาช่วยเหลือครอบครัวของผู้เสียชีวิต ถือเป็นการเยียวยาคนในชาติ ผ่านเครื่องมืออย่าง “ฟุตบอล”


สำหรับเกมวันนั้น อาร์เซน่อล และสเปอร์ส ลงเล่นต่อหน้าแฟนบอลราว 5,000 คน ก่อนที่ผลสรุป “เดอะ กันเนอร์ส” เป็นฝ่ายเอาชนะไป ด้วยสกอร์ 3-0  แฟนบอลหลักครึ่งหมื่นคนในวันนั้น ช่วยเรี่ยไรเงินกัน โดยมีอาร์เซน่อล และสเปอร์ส เป็นสื่อกลาง 


การหาเงินเข้า “กองทุนภัยพิบัติ” ในครั้งนั้น ทั้งสองสโมสรแจ้งขอความร่วมมือกับเทเรกราฟ สื่อดังของประเทศ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ด้วย นอกจากนี้ พวกเขายังได้รับความร่วมมือจากนายกเทศมนตรีของลอนดอน และเซาธ์แฮมป์ตัน 


ช่วงเวลานั้น คนทั้งประเทศอังกฤษ ช่วยกันรวบรวมเงินได้มากกว่า 450,000 ปอนด์ (หรือเทียบเท่ากว่า 2 ล้านปอนด์ในปัจจุบัน) ซึ่งหนึ่งในจำนานนั้น เกิดจากเกมการกุศล ระหว่างอาร์เซน่อล กับสเปอร์ส ที่ยอมทิ้งความเป็นคู่ปรับ เพื่อมาทำสิ่งดีๆร่วมกัน 


สำหรับผู้เกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิต บางครอบครัวจะได้เงินเยียวยารายสัปดาห์ ขณะที่บางครอบครัว ได้เป็นทุนการศึกษาบุตร และการจัดหางานให้ทำ นอกจากนี้ เงินที่ได้ยังคงถูกนำไปช่วยเหลือผู้สูงอายุ ที่ลูกหลานเสียชีวิตไป ทั้งในแง่ของอาหาร, แว่นตา และฟันปลอม


นี่คือเรื่องราวดีๆที่อาร์เซน่อล และสเปอร์ส ตั้งใจทำร่วมกัน ผลการแข่งขันที่ออกมา ไม่สำคัญเท่าการระดมทุน เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องการมันจริงๆ กระทั่งปีต่อมา อาร์เซน่อล ทำการย้ายฐานจากย่านวูลวิช (ลอนดอนใต้) ... เพื่อมาอยู่ที่แถบลอนดอนเหนือ ซึ่งเป็นฐานที่ตั้งของสเปอร์ส 


ถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความดุเดือด ในฐานะ “ดาร์บี้แมตช์ ลอนดอนเหนือ” จวบจนถึงปัจจุบัน แม้จะเป็นการแข่งขันที่เต็มไปด้วยความรุนแรง, ความริษยา และความอาฆาตของแฟนบอลทั้งสองทีม แต่ก็ไม่สามารถจะลบล้างความจริงที่ว่า ครั้งหนึ่ง อาร์เซน่อล และสเปอร์ส เคยจับมือกัน เพื่อสร้างเรื่องราวดีๆ 


ซึ่งเป็นเรื่องราวดีๆที่พวกเขาทำเพื่อคนในชาติ ในการฝ่าฟันวิกฤติ และความสูญเสียไปพร้อมกัน แม้เวลาจะผ่านไปเป็นร้อยปี ประวัติศาสตร์ของเกมอุ่นเครื่องแมตช์ดังกล่าว ยังคงถูกบันทึก และถูกพูดถึงมาจนถึงทุกวันนี้ 

เกมอุ่นเครื่อง เพื่อหาเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์ของเรือไททานิก ผ่านมาเป็นศตวรรษแล้ว (111 ปี)  หลายคนอาจจะไม่รู้ หรือไม่อินกับประวัติศาสตร์ ที่ผ่านวัน และเวลามาอย่างยาวนาน 


เพื่อยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น เราขอยกตัวอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นไปไม่นานมานี้ ศึกยูโร 2020 นัดชิงชนะเลิศ ทีมชาติอังกฤษ พลาดแชมป์อย่างน่าเสียดายให้กับอิตาลี หลังจากเสมอในเวลา 1-1 และพ่ายในช่วงดวลจุดโทษ


สำหรับ 1 ใน 3 นักเตะ “สิงโตคำราม” ที่พลาดจุดโทษในเกมนัดชิงชนะเลิศกับอิตาลี คือ “บูกาโย่ ซาก้า” ดาวเตะจากค่ายอาร์เซน่อล  เหตุการณ์หลังจากนั้น ซาก้า โดนกระแสสังคม (จากแฟนบอลจำนวนหนึ่ง) เข้ามาถาโถมอย่างหนัก 


ไม่ว่าจะเป็นการด่าทอผ่านสื่อออนไลน์ และการพุ่งเป้าโจมตีในสนามแข่ง เหตุการณ์บานปลาย ถึงขั้นซาก้า โดนเหยียดผิว และเชื้อชาติ นั่นคือชะตากรรมที่ซาก้า พบเจอ ร่วมกับเพื่อนที่พลาดจุดโทษอีก 2 คนอย่างมาร์คัส แรชฟอร์ด และเจดอน ซานโช่ จากทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 


28 วัน หลังจากนัดชิงชนะเลิศกับทีมชาติอิตาลี ซาก้า ต้องเจอกับแบบทดสอบครั้งสำคัญ นำมาซึ่งความกดดันอย่างมหาศาล เมื่ออาร์เซน่อล มีคิวบุกไปเยือนถิ่นของสเปอร์ส เพื่อไปลงเล่นเกมอุ่นเครื่อง ที่จบลงด้วยการที่พลพรรค “ไก่เดือยทอง” เอาชนะไป 1-0 


เกมดังกล่าว ซาก้า ถูกส่งตัวลงมาเล่น ในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย หลายฝ่ายมองว่า เขาต้องเป็นเป้าโจมตีของแฟนบอลสเปอร์ส อย่างแน่นอน แต่ปรากฏว่า แฟนบอลสเปอร์ส กลับลุกขึ้นยืนเกือบทั้งสนาม เพื่อปรบมือให้กำลังใจกับซาก้า 


แฟนบอลสเปอร์ส รู้ดีว่า การฟาดฟันกันในสนาม ไม่สำคัญเท่าศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และผลการแข่งขัน ไม่สำคัญเท่าการให้กำลังใจเพื่อนมนุษย์ ที่กำลังโดนเหยียดผิว และละเมิดความเป็นคนอย่างหนัก

นี่คือคลาสที่แฟนบอลสเปอร์ส แสดงออกมา ซึ่งพวกเขาไม่สนใจเลยว่า นี่คือนักเตะของศัตรูตัวฉกาจเบอร์ 1 


นอกจากนี้ แฟนบอลสเปอร์ส ยังเตรียมแบนเนอร์ให้กำลังใจ นำมาแขวนเอาไว้ตรงอัฒจันทร์ด้วย ใจความบนแบนเนอร์ระบุว่า “ลอนดอนเหนือขอยืนเคียงข้างบูกาโย่ ซาก้า และนักเตะทุกคนที่โดนเหยียดผิว และการแบ่งแยก เลือกปฏิบัติ” 


นอกจากนี้ สื่ออย่างเป็นทางการของสเปอร์ส ก็โพสต์ภาพเหตุการณ์ และข้อความให้กำลังใจ ส่งถึงไปยังซาก้า อีกด้วย ขณะที่ซาก้า ทำการโพสต์อินสตาแกรมส่วนตัว พร้อมกับส่งข้อความกลับไปยังสเปอร์ส เช่นเดียวกัน 


ซาก้า ออกมาโพสต์ว่า “ผมเคารพในการถูกปฏิบัติแบบนี้เป็นอย่างมากเลย ผมขอขอบคุณนะครับ ” 

เรื่องที่นำมาเสนอนั้น เกิดขึ้นในนามของทีมชุดใหญ่ ทั้งกับอาร์เซน่อล และสเปอร์ส แต่ยังมีเรื่องราวที่หลายคนอาจยังไม่เคยทราบมาก่อน นั่นคือตำนาน และอดีตนักเตะของทั้งสองทีม มักหาเวลามาเตะฟุตบอลกันอยู่บ่อยๆ 


การใช้ชื่อ “ดาร์บี้แมตช์ ลอนดอนเหนือ” ถือเป็นการเพิ่มความสนใจ และกระตุ้นให้ผู้คนหันมาสนใจการกุศลมากขึ้น จุดประสงค์สำคัญ เพื่อเป็นการหาเงินทุน นำไปมอบให้กับการกุศล ในการใช้ประโยชน์ในแง่มุมต่างๆ 


ย้อนกลับไป เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ตำนานอาร์เซนอล และสเปอร์สเริ่มแคมเปญพิเศษขึ้นมา จุดมุ่งหมาย เพื่อเป็นการระดมทุนให้กับแผนกผู้ป่วยหนักทารกแรกเกิดของโรงพยาบาลในประเทศอิสราเอลโรงพยาบาลดังกล่าว รองรับเด็กเกิดใหม่ ราว 8,000 คนต่อปี ขณะที่ต้องเจอกับปัญหาเด็กคลอดก่อนกำหนด 500 ราย


เกมดังกล่าว ดำเนินโดยตำนานอาร์เซน่อล อย่างพอล เมอร์สัน และเพอร์รี่ โกรฟส์ และตำนานสเปอร์ส เดวิด ฮาวเวลล์ส และรูเอล ฟ็อกซ์ จบเกม สเปอร์ส เอาชนะอาร์เซน่อล 6-2 พร้อมกับระดมทุ่นได้มากกว่า 30,000 ปอนด์ 


แม้จะเป็นฝ่ายแพ้ แต่เมอร์สัน ออกมากล่าวว่าผมสนุกกับเกมวันนี้จริงๆผมจะทำมันอีกครั้งแน่นอน ถือเป็นการทำตามหัวใจ


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})