:::     :::

"ผมไม่ได้มาเพื่อเงิน" สัมภาษณ์ใหญ่เซอร์จิม (ภาคต้น)

วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2567 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
916
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
นี่คือบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มครั้งแรกของเซอร์จิม แรทคลิฟฟ์ ที่ให้ไว้กับสื่อของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ทั้งการเปิดเผยมุมมองต่อการพาแมนยูกลับไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง และเป้าหมายในการเข้ามาซื้อหุ้นแมนยูที่ไม่ใช่เรื่องเงิน ถ้าได้ฟังแล้วเชื่อว่าแฟนบอลน่าจะใจชื้น และอย่างน้อยก็รับทราบที่จะอดทนรอเวลาไปด้วยกัน จนกว่าโปรเจ็คนี้จะประสบความสำเร็จในอนาคต

จากถ้อยคำแรกที่เจ้าตัวพูดเอาไว้หลังจากมีการประกาศ Official เมื่อสัปดาห์ก่อน มันคือบทสัมภาษณ์ที่ตอบประเด็นต่างๆที่สำคัญทั้งหลาย หากแฟนๆอยากรู้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้สโมสรจะเดินทางไปในทิศทางใด ให้ลองมาอ่านเนื้อหาที่ผู้ถือหุ้นร่วมคนใหม่รายนี้พูดเอาไว้อย่างตรงไปตรงมาและชัดเจนมาก

ประเด็นแรกๆซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง นั่นก็คือเรื่องอนาคตของรังเหย้าอายุ 114 ปี ในนามโอลด์แทรฟฟอร์ดแห่งนี้ เป็นประเด็นพูดคุยกันอย่างมาก แฟนบอลก็อยากเห็นความจุเพิ่มขึ้น อนาคตของสนามแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในสองประเด็นเร่งด่วนที่เซอร์จิมกระตือรือร้นจะลุยมากเป็นพิเศษ

“หากคุณดูบทบาทของเราที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีสองประเด็นสำคัญที่เราต้องจัดการ เรื่องหนึ่งคือฟุตบอล ก็คือเรื่องผลงานในสนาม มันเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสุดของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเราเสมอ”

“แต่เรื่องที่สอง ปัญหาใหญ่ถัดมาจริงๆ ซึ่งผู้คนจำนวนมากพูดถึงและรับรู้ดี คือตำแหน่งที่สนามกีฬาตั้งอยู่ทุกวันนี้ คือมันเป็นสนามที่น่าประทับใจ เป็นสนามแข่งพรีเมียร์ลีกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และเป็นอันดับสองของทั้งหมดรองจากเวมบลีย์เท่านั้น แต่มันค่อนข้างที่จะไม่ได้เป็นมาตรฐานที่จะคาดหวังได้จากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดปัจจุบันนี้ ซึ่งมันตามหลังเขาอยู่"

"โอเค20ปีที่แล้วอาจจะได้มาตรฐาน แต่ทุกวันนี้ล้าหลังไปแล้ว"

และเนื่องจากเซอร์จิมได้เคยให้คำมั่นเอาไว้เกี่ยวกับเงินก้อนใหญ่ราว 300 ล้านดอลลาร์สำหรับการลงทุนในอนาคตด้านโครงสร้างพื้นฐานที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ประเด็นนี้เซอร์จิมระบุไว้ดังนี้

"เราต้องมองไปข้างหน้าสำหรับสนามแข่ง และการพัฒนาใหม่อีกครั้ง เห็นชัดว่ามีสองทางที่เราทำได้คือ ปรับปรุงสนามเดิมใหม่อีกครั้ง หรือ สร้างสนามใหม่ไปเลย นั่นคือสิ่งที่เรากำลังหารืออยู่ในขณะนี้"

“และใช่  เรื่องแคร์ริงตันอยู่ในความคิดของเรา แต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องรองจากโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ผมว่าแคร์ริงตันค่อนข้างน่าประทับใจ ผมค่อนข้างชอบแคร์ริงตันในฐานะสิ่งอำนวยความสะดวกและคิดว่ามีหลายๆอย่างที่เราสามารถทำได้นะเพื่อที่จะปรับปรุงมัน แต่ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่เหมือนเรื่องที่สนามต้องการ"

การเข้าซื้อกิจการของมหาเศรษฐีชาวอังกฤษรายนี้ในสัดส่วน 27.7 เปอร์เซ็นต์ของสโมสร ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการเมื่อเย็นวันอังคารที่ผ่านมา หลังจากได้รับการอนุมัติจากพรีเมียร์ลีกและสมาคมฟุตบอล และประเด็นการเข้ามาลงทุนในครั้งนี้ มันเป็นการทำเพื่อผลกำไรมากน้อยแค่ไหน เซอร์จิมตอบไว้ดังนี้

"ผมไม่สนใจเรื่องเงินเลยจากการลงทุนในครั้งนี้ เพราะผมมีรายได้เยอะพอแล้วจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ น้ำมัน และก๊าซ มันไม่ใช่การลงทุนเรื่องการเงิน ผมแค่อยากเห็นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดประสบความสำเร็จอีกครั้ง ในช่วง11ปีที่ผ่านมามันไม่ประสบความสำเร็จ แต่เราต้องกลับไปยังจุดที่ควรจะเป็นให้ได้ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดอีกครั้ง"

INEOS นั้นเป็นผู้ผลิตปิโตรเคมีระดับโลกซึ่งสร้างรายได้ต่อปี 65,000 ล้านดอลลาร์ นอกเหนือจากเข้ามาเป็นเจ้าของร่วมแมนยูไนเต็ดแล้ว พวกเขายังมีส่วนกับทีมอื่นๆ อีกหลายทีม และจากกีฬาต่างๆ รวมถึง Nice ซึ่งอยู่อันดับสามในตารางลีกเอิงของฝรั่งเศส, ทีม Mercedes-AMG Petronas F1 และทีมจักรยาน INEOS Grenadiers

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ เซอร์จิมนั้นเป็นอีกคนหนึ่งที่อยู่ในคัมป์นู ในเกมที่เซอร์อเล็กซ์พาทีมคว้าทริปเปิลแชมป์ในปี 1999 เซอร์จิมมีความมุ่งมั่นที่จะพาทีมกลับไปสู่จุดสูงสุดเช่นนั้นอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการประสบความสำเร็จทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งเมื่อถูกถามถึงวิสัยทัศน์ของเขาสำหรับสโมสร เซอร์จิมตอบได้ชัดเจนมากๆดังนี้

"เรื่องในสนามมันง่ายๆเลย สิ่งเดียวที่เราอยากได้คือชัยชนะในการแข่ง การท้าชิงแชมป์พรีเมียร์ลีก ท้าชิงแชมเปี้ยนส์ลีก นั่นคือสิ่งที่เราต้องการแค่อย่างเดียวในการเข้ามามีส่วนร่วมกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มันเป็นสิ่งที่ยูไนเต็ดเป็นอยู่ คือบางทีผมอาจจะมีความลำเอียงเล็กน้อยแหละ แต่ผมคิดว่านี่คือสโมสรฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุด และเป็นที่รู้จักมากที่สุดในยุคนี้"

"ดังนั้นเราจึงจะต้องอยู่ในสถานะลุ้นแชมป์ลีกและUCLเสมอ นั่นคือวิธีที่เราต้องวัดตัวเราเองในแง่ความคาดหวังจากนอกสนาม ผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องคุณค่า และแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเองก็ยืนหยัดเพื่อคุณค่าบางอย่าง มันมีเรื่องของสไตล์ฟุตบอล มันมีเรื่องค่านิยมของผู้คนที่จำเป็นต้องเคารพ เพราะงั้นเราก็คาดหวังให้ผู้คนทำเช่นนั้นอยู่แล้ว"

เซอร์จิมยังเน้นย้ำว่า "วัฒนธรรมแห่งชัยชนะ" จะต้องแผ่ขยายออกไปทั่วทั้งสโมสร และไม่ใช่จำกัดอยู่แค่ทีมชายชุดใหญ่เท่านั้น

"ผมคิดว่าไม่ว่าจะทีมไหนๆก็ตามที่สวมตราแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดของเราบนเสื้อ พวกเขามีความสำคัญกับสโมสรเพราะอยู่ในนามตราดังกล่าว พวกเขาจำเป็นต้องประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ เพราะงั้นพวกเขาจึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสโมสร"

เซอร์จิมเองรับรู้อยู่แล้วว่าแฟนบอลอยากได้ผลงานในสนามที่ดี ท้ายที่สุดแล้วเขาเองก็เหมือนกับคนอื่นๆในแง่นี้ ดั้นด้นเดินทางไปโอลด์แทรฟฟอร์ดเหมือนแสวงบุญ ห่างไกลจากบ้านมาเพื่อจะเชียร์ทีม และแน่นอนว่ามีคนดูอีกเป็นล้านที่ชมทางโทรทัศน์ทั่วโลกที่เชียร์ปีศาจแดงอยู่ เพราะงั้นทุกอย่างมันจึงขึ้นอยู่กับความสำเร็จและถ้วยรางวัลทั้งสิ้น

“สโมสรต้องทำอะไรเพื่อสิ่งนั้นล้วนๆ นั่นคือแฟนบอล ผมจะพูดเสมอว่าพวกเราไม่ได้เป็นเจ้าของสโมสร ผู้ถือหุ้น ตัวผม ตระกูลเกลเซอร์ พวกเราไม่ได้ถือครองสโมสร เจ้าของตัวจริงคือแฟนบอล ชุมชน เราเป็นเพียงผู้เข้ามาดูแลในช่วงเวลาหนึ่งของสโมสรเท่านั้นเอง เราไม่ได้เป็นเจ้าของ สโมสรคือสมบัติของชุมชนนี้"

"ดังนั้นมันจึงเกี่ยวกับแฟนบอลจริงๆ รวมถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการว่าอะไรที่มันสำคัญจริงๆ สำหรับผู้คนเหล่านี้ที่อาศัยอยู่ในแมนเชสเตอร์ และไปเชียร์ทีมทุกสัปดาห์ มันคือการที่พวกเขาอยากเห็นทีมชนะ เพราะมันเป็นความสนุกสำหรับทุกๆคน ซึ่งเราก็ตระหนักดี ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องแฟนบอลล้วนๆ"

เซอร์จิมคงไม่ต่างอะไรกับแฟนแมนยูทุกคน ในสิ่งที่แฟนๆอยากที่จะเห็นมากกว่าอย่างอื่นในยุคใหม่ที่เขาเป็นเจ้าของร่วมสโมสร จากการเป็นแฟนปีศาจแดงมาตลอดชีวิต ในฐานะเด็กถิ่นที่เกิดใน Failsworth ซึ่งห่างจากสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดแค่ 7 ไมล์เท่านั้น เขามายืนอยู่ที่ Stretford End ตั้งแต่เด็ก ชายคนนี้เชื่อว่าฐานแฟนบอลมหาศาลของทีมนั้น ก็ปรารถนาจะให้สโมสรกลับมาสู่จุดสุดยอดของอังกฤษ ทวีปยุโรป และของโลกฟุตบอลอีกครั้ง

ดังนั้นการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกระดับโลกจึงสำคัญมาก และเป็นสิ่งที่เซอร์จิม และกลุ่มบริษัทข้ามชาติอย่าง INEOS วางแผนที่จะทำให้ทันเวลา ซึ่งในขณะนี้การลงทุนของเขาในยูไนเต็ดเสร็จสมบูรณ์และได้รับการรับรองแล้ว

วลีสำคัญที่มีคำว่า "ทันเวลา" เพราะแม้คำพูดของเขาในแถลงการณ์แรกของสโมสรจะกล่าวกว่า "การทำงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เหล่านั้นจะถูกเร่งให้เร็วขึ้นนับตั้งแต่วันนี้" เซอร์จิมก็ชี้ให้เห็นว่า กระบวนการต่างๆมันไม่ง่ายเหมือนการกดสวิตช์ได้ทันที

ในตอนท้ายของการสัมภาษณ์พิเศษนี้ เซอร์จิมถูกถามว่ามีข้อความถึงแฟนๆหรือไม่ ในโอกาสแรกที่จะกล่าวถึงแฟนบอลโดยตรง เซอร์จิมตอบดังนี้

"ข้อความที่อยากจะบอกแฟนๆก็คือ เป้าหมายหลักอย่างแท้จริงของเรากับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก็คือผลงานในสนาม เราอยากให้แมนยูไนเต็ดเป็นผู้ท้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ท้าชิงแชมเปี้ยนส์ลีก นั่นคือสิ่งที่แมนยูควรจะเป็น"

"นี่คือสโมสรที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก เพราะงั้นมันจะต้องเล่นฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลกเช่นกัน แต่มันไม่เหมือนเปิดสวิตช์ไฟ เราไม่สามารถเปิดปิดมันได้ดังใจทันทีทันใด เราอยากจะขึ้นไปเล่นให้ได้ในระดับเรอัลมาดริด และเพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ในจุดนั้นมา 11 ปีแล้ว เพราะงั้นมันต้องใช้เวลา และอดทนกันสักเล็กน้อย"

"สิ่งสำคัญผมคิดว่า พวกเราทุกคนต่างมองถึงความเป็นไปในอนาคตข้างหน้าในอีก 2-3 ซีซั่น ซึ่งมันจะต้องไปในทิศทางที่ดี เราอยากให้ผู้คนได้มองเห็นแบบนั้น ผมก็อยากจะขอให้อดทนกันสักนิด แต่สุดท้ายแล้วประสิทธิภาพของสโมสรนั้นอยู่บนความรับผิดชอบของเรา ความรับผิดชอบของผมโดยเฉพาะเลย และก็ Dave Brailsford ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด รวมถึงคนอื่นๆที่เหลือของสโมสรด้วย ทั้งในสิ่งที่ยากหรือง่ายก็ตาม"

"ถ้าเราประสบความสำเร็จ มันก็คงจะดี ผมคิดว่ามันคงดีถ้าได้ฉลองกันแบบนั้น แต่ถ้าเราไม่ประสบความสำเร็จ มันก็คือสิ่งที่เราแบกอยู่เหมือนกัน เพราะงั้น เราเต็มใจที่จะรับความรับผิดชอบนี้ และเราจะโฟกัสมากๆในการทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อจะพาแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลับมาเป็นผู้ชนะอีกครั้ง"

"เพราะงั้น เราถึงได้มาอยู่ที่นี่" 

-เซอร์จิม แรทคลิฟฟ์-

(มีต่อภาค2)

References


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด