:::     :::

ศึกสุดท้ายที่กินกันไม่ลงของ เป๊ป VS คล็อปป์

วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 2567 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
814
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
บทสรุปเกมนัดสำคัญที่ต้องแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกกันระหว่าง ลิเวอร์พูล และ แมนซิตี้ จบลงด้วยการเสมอกัน และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเกมนัดนี้

นี่คือครั้งสุดท้ายที่สองคนนี้ได้ฟาดฟันกันในพรีเมียร์ลีก จบลงด้วยการเสมอกันไปด้วยสกอร์ 1-1 ที่สนามแอนฟิลด์ จากการขึ้นนำโดยลูกเตะมุมที่เควิน เดอบรอยน์ เปิดมาให้จอห์น สโตนส์ เข้าฮอร์สไปได้ในนาทีที่ 23 แต่ลิเวอร์พูลที่ทำเกมได้ดีกว่า ก็มาเรียกประตูตีเสมอได้ในช่วงครึ่งหลังจากจุดโทษที่อาเก้แจกด้วยการจ่ายบอลคืนหลังสั้นไปจนเอแดร์ซอนออกมาไม่ทันและทำฟาล์วเสียจุดโทษ กลายเป็นอเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ยิงเข้าไป

มีอะไรที่หลายๆอย่างที่น่าสนใจในเกมนี้ ทั้งในเชิงแทคติกการแก้เกมของสองผู้จัดการทีมแห่งยุค และรูปเกมที่เกิดขึ้นในสนาม รายละเอียดต่างๆมีดังนี้ครับ


1. ต้องบอกว่าวันนี้เป็นวันที่ผมชื่นชมลิเวอร์พูลมากๆ ใจคือเชียร์ซิตี้อยู่แล้ว ก็นั่งแช่งอยู่ แต่รูปเกมวันนี้ "ลิเวอร์พูล" ดีกว่าซิตี้แบบเห็นได้ชัดมากๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการครองบอล และการคุมเกมบุกใส่อีกฝ่าย ลิเวอร์พูลเหนือกว่าซิตี้มากๆอย่างเห็นได้ชัด

น้อยครั้งมากที่จะเห็นซิตี้ครองบอลสู้คู่แข่งไม่ได้ และเกมนี้ซิตี้ด้อยกว่าแบบเสร็จสรรพจริงๆ จะบอกว่าฮึดไม่ขึ้นเลยก็ใช่ เพราะลิเวอร์พูลเก็บหมดจริงๆ โดย เปอร์เซ็นต์การครองบอลรวมแล้ว สุดท้ายลิเวอร์พูลเหนือกว่า (52.9% ต่อ 47.1%)

ซิตี้เพิ่งเริ่มมากระเตื้องบ้างตอนส่งโควาซิชลงมารักษาการครองบอลให้นิ่งขึ้นกลางสนาม แต่ก็ต้องแลกกับการเสียตัวตัดสินเกมอย่าง KDB ออกจากเกมไป ในรูปเกมที่โดนลิเวอร์พูลครองบอลกดยาวๆ ก็พอจะเข้าใจไอเดียเป๊ปอยู่ แต่จริงๆเป๊ปน่าจะถอดแบร์นาโด้ออกมากกว่าเดอบรอยน์ เพราะก็สร้าง impact ไม่ได้เลยเหมือนกัน

2. การทำเกมโดยรวมนอกจากการครองบอล ลิเวอร์พูลเหนือกว่าซิตี้เกลี้ยงชนิดที่เรียกว่าผมเองยังต้องยอมรับจริงๆ

-โอกาสยิงในด้านปริมาณ ลิเวอร์พูลก็เหนือกว่า 20 ต่อ 10 ครั้ง
-วัดกันด้วยxGที่เด่นชัดเรื่องโอกาส ลิเวอร์พูลก็เหนือกว่าที่ xG 2.26 ต่อ 1.56 ก็ถือว่า "ขาด" เหมือนกันในด้านของโอกาสการสร้างประตู แต่ไม่สามารถเปลี่ยนมันให้เป็นประตูที่สองได้ ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาก็ไม่ชนะในเกมนี้
-Field Tilt : 54.4% - 45.6% อันนี้แหงอยู่แล้ว พับสนามบุกเทใส่ฝั่งซิตี้มากกว่า ค่า FT ก็สูงกว่า
-xT (expected Threat การทำเกมที่เพิ่มโอกาสการสร้างจังหวะรุกให้ทีม) ลิเวอร์พูลก็สร้างเกมรุกได้ดีกว่า xT 1.65 ต่อ 1.37

พูดภาษาชาวบ้านๆสรุปทั้งหมดคือ เกมลิเวอร์พูลเหนือกว่าแบบเห็นได้ชัดทั้งในสนาม และสถิติการเล่นที่เกิดขึ้น เหนือกว่าหมดเลยจริงๆ


3. ซิตี้ที่ผมเชียร์อยู่บอกตรงๆว่าลุ้นไม่ขึ้น ติดๆขัดๆและขาดประสิทธิภาพจริงๆ

จะบอกว่าตัดสินกันที่ผลลัพธ์และความเด็ดขาด ซิตี้เอง "ไปไม่ถึงจุดนั้น" จุดที่จะสร้างจังหวะหรือโอกาสเลยด้วยซ้ำ การเสริมเกมรุกก็ไม่มี โฟเด้น ฮาลันด์ บอลไปแทบจะไม่ถึง

โครงสร้างการครองบอลทำเกมวันนี้ซิตี้ตั้งแทบจะไม่ได้เลย การใช้การยืนตำแหน่งในทรง 3-2-2-3 ไม่มีคุณภาพเพราะตั้งเกมได้ไม่แน่นอน ด้วยแทคติกของลิเวอร์พูลที่เพรสซิ่งตลอดเวลาทำให้ซิตี้เองก็ยังลำบาก ตัวที่เคยคอนโทรลกลางสนามได้ในทุกๆนัดอย่างโรดรี้ยังเหนื่อย เพราะลิเวอร์พูลเล่นฟุตบอลเชิงรุกจริงๆในยามที่ไม่มีบอลด้วยการเพรสตลอดเวลา


ความแน่นอนและจินตนาการของการตัดสินเกมวันนี้ขาดไปเยอะ ด้วยปีกซ้ายที่ใช้ฮูเลียน อัลวาเรซ ยังทำเกมไม่ได้มากนัก, โฟเด้นที่ถูกถ่างออกไปชิดริมเส้นก็ทำให้สูญเสียความอันตรายไปเยอะ ภาระการปั้นเกมทั้งหมดตกอยู่ที่ KDB แล้วเขาก็เล่นได้ยากลำบากอีกในการทำเกมบุก แถมเจอลิเวอร์พูลครองบอลได้ด้วย มันก็เหมือนเป็นการตัดแขนขาซิตี้ไปหมดแล้วจริงๆ

จากช่วงต้นเกมที่ได้ลุ้นแรกๆ และจังหวะที่ได้ประตู KDB แสดงให้เห็นว่าเขาคือตัวตัดสินเกมที่สำคัญมากๆ แต่ซิตี้ไม่สามารถใช้จุดแข็งเรื่องนีได้เต็มที่ เพราะระบบโดยรวมของลิเวอร์พูลทำเกมได้ดีกว่า และ"คุมบอลในแดนกลาง" ได้ดี ด้วยการใช้ทีมเวิร์คร่วมกันของเอนโด AMA และ Szobo ในแดนกลาง

หลังจากได้ประตูนำ ซิตี้ก็ไม่มีอะไรเลย


4. เกมครึ่งแรก แม้ซิตี้จะนำ แต่ลิเวอร์พูลกดซิตี้อยู่หมัด มันขาดแค่ประตูเท่านั้น ขาดความเฉียบขาดของจังหวะสุดท้าย ขาดการครีเอทเกมรุกและจังหวะยิงที่มีทีเด็ดทีขาดแค่อย่างเดียว

ลิเวอร์พูลครองเกมได้หมดแล้ว ขาดแค่การสร้างประตูให้เกิดขึ้นเท่านั้นเอง นั่นคือจุดที่ขาดอยู่ นักเตะที่จะแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้ มีแค่สองตัวที่จะพลิกโฉมเกมและเติมจุดที่ขาดอยู่ได้ นั่นก็คือ โม ซาลาห์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน สองคนที่จะเติมเกมรุกให้ลิเวอร์พูลได้

การเติมร็อบโบ้ลงมา มันคือการสร้างสมดุลให้ทีมทางพื้นที่ด้านข้าง และสนับสนุนเกมรุกจากวงนอกในบริเวณฝั่งซ้าย ส่วน ซาลาห์ คือตัวเล่นในพื้นที่สุดท้ายซึ่งมีความเฉียบขาดในการตัดสินเกม ก็เหมือนที่ซิตี้มี KDB ลิเวอร์พูลก็ต้องใช้ Salah เช่นกัน (สัมผัสแรกๆก็อย่างที่เห็น บอลฆ่าของบังโม เกือบจะทำให้ลิเวอร์พูลยิงแซง 2-1 แล้ว)

นั่นคือสิ่งที่พวกเขาแก้ไขเกมได้ตรงจุดมากๆ ด้วยลอจิคง่ายๆ

ครึ่งแรก ครองบอลได้ > ขาดแค่การทำประตู
แก้ปัญหา : เติมคนสร้างจังหวะเกมรุกคมๆลงมา / เติมแนวสนับสนุนเกมรุก

คล็อปป์แก้ปัญหาได้ถูกจุดตรงตามที่เราคาดหวังและวิเคราะห์ไว้ในระหว่างพักครึ่งในไลฟ์ มันตรงตามที่พวกเขาขาดอยู่เป๊ะๆ และครึ่งหลังนั่นแหละคือฟูลทีมที่แท้จริงของลิเวอร์พูล ที่ได้โกเมซกลับมาอยู่ RB, ร็อบโบ้มาลง LB และได้ Salah มายืน RW ตัวหลักแทน, ขยับเอลเลียตลงมาเล่น 8 ช่วยงานแดนกลาง

ทุกอย่างสมบูรณ์แบบสุดๆ และก็เกือบจะได้ประตูขึ้นนำซิตี้หลายลูกแล้ว แต่มันขาดแค่อย่างละนิดอย่างละหน่อยเท่านั้นเอง ก็น่าเสียดายแทนลิเวอร์พูลที่ทุกอย่างมันลงล็อคหมดแล้ว ขาดแค่นิดเดียวที่จะสร้างให้เป็นประตูได้เท่านั้นเอง ซึ่งจุดนี้ก็ต้องชมว่า ซิตี้เองไปพลาดแค่ช็อตนั้น แต่หลังจากนั้นก็ช่วยกันเล่นเกมรับจนต้านลิเวอร์พูลได้ดี

เป็นภาพที่ไม่น่าเชื่อจริงๆที่ซิตี้ต้องถอยไปรับลึก และโดนกดให้ถอยลงไปป้องกันต่ำในลักษณะ low-block แบบนี้ แต่ Liverpool ทำให้เกิดภาพนี้ได้ โคตรชอบเลย ทั้งๆที่นั่งแช่งพวกเขานี่แหละ!


5. ช่วงท้าย การเปลี่ยน KDB ออกก็ดูเหมือนว่าจะมีปัญหากันเล็กน้อย ตามที่เขียนไปคือผู้เขียนมองว่าน่าถอดแบร์นาโด้ออกมากกว่า แต่ก็แล้วแต่เป๊ป การใช้โควาซิชลงมามันทำให้กลางแน่นขึ้น แต่ตัวออกบอลฆ่ามันหายไป การส่ง Doku ลงมาแทนอัลวาเรซถือว่าดีและตรงตำแหน่งกว่าเยอะ แต่เมื่อเดอบรอยน์ไม่อยู่ โดกูก็ต้องเปิดเกมรุกด้วยตัวเอง เสียดายว่ามันยังขาดนิดขาดหน่อยแค่นั้น

ภาคการแก้เกมสองคนนี้ไม่มีใครยอมใครเลย คล็อปป์ก็แก้ไขได้ถูกจุดตามพาร์ทที่มันยังขาดอยู่ ส่วนเป๊ปเองก็ปรับแก้ในจุดที่เป็นปัญหาที่ครองบอลเป็นรอง แพ็คกลางให้แน่นขึ้น ส่งตัวรุกคนเดียวที่เหลืออยู่ลงมา แต่ก็ยังไม่ดีพอจะยิงประตูได้ ลูกยิงโดกูทำได้ดีแล้วแต่ยังไม่ดีพอจะเป็นประตู การชนเสาก็คือไม่เข้า มันก็ยังไม่สำเร็จเหมือนกัน

แล้วโดกูโชคดีมากที่ไม่โดนจับฟาล์วในจังหวะยกเท้าสูงไปถากใส่ตัวแม็คอัลลิสเตอร์ขนาดนั้น ไม่งั้นดราม่าไปแล้ว


ช่วงท้ายเกมผมถือว่าเป๊ปก็ตอบโต้ได้ดีมากๆ ปรับแก้เกมได้ดีแล้ว ลิเวอร์พูลเองมีแรงฮึดช่วงท้าย ก็มาบุกกดได้อีกรอบช่วงทดเวลา และเกือบจะมีดราม่าท้ายเกมแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ยังยันกันเอาไว้ได้อย่างที่เห็น

ลิเวอร์พูลเกมเหนือกว่าซิตี้จริงๆ แต่ผมคิดว่าผลเสมอแฟร์แล้ว และมันเป็นฉากสุดท้ายของการสู้กันโดยตรงในลีกที่ดีสำหรับเป๊ป และ คล็อปป์แล้ว ทำทีมมาได้ดีมาก และสร้างมาตรฐานระดับสูงให้ลีก แล้วมันก็กินกันไม่ลงจริงๆ

เสมอกันก็ดี


6. การลุ้นแชมป์ยังคงมีต่อไป ลุ้นกันไปยาวๆ คือถ้าคืนนี้ลิเวอร์พูลชนะ ผมจะยืนยันคำเดิมว่าโมเมนตัมจะเทไปหาพวกเขาเต็มๆ และโอกาสถึงแชมป์เยอะมาก แต่พอมันไม่สำเร็จ โอกาสก็ยังเปิดกว้าง ใครที่มองข้ามอาร์เซนอลไป คิดผิดคิดใหม่ เพราะน่อลปีนี้สมบูรณ์และครบเครื่องมากๆ ตอนนี้ขึ้นจ่าฝูงแล้วสวยๆไม่มีชั่วคราวอะไรทั้งนั้น เพราะงั้นแชมป์ปีนี้ยังเปิดกว้าง

ซิตี้โปรแกรมหลังจากนี้หนักกว่า และต้องไปตัดกันเองกับอาร์เซนอลอีก ส่วนลิเวอร์พูล โปรแกรมเบากว่าเพื่อนมากๆ ถ้านัดที่น่อลเจอซิตี้ เสมอกันเอง ลิเวอร์พูลอาจจะได้ยิ้มอีกครั้ง แล้วถ้ากลับมาขึ้นนำ อาจจะเข้าเบรคยาวๆยันจบฤดูกาลเลยก็เป็นได้ ซึ่งนั่นน่ากลัวมาก

ติดตามกันต่อไป แชมป์พรีเมียร์ลีกปีนี้มีม้าสามตัวแข่งกันอย่างสูสีมากๆด้วยระยะห่างที่ไม่มีใครยอมปล่อยให้คู่แข่งหนีห่างเกิน 1 คะแนนเลยแม้แต่สัปดาห์เดียว

อีก 10 เกมสุดท้ายที่เหลือของแต่ละทีม เชื่อว่ามันจะเป็นเหมือนรอบชิงของทั้งอาร์เซนอล ลิเวอร์พูล และ แมนซิตี้ ที่ต้องจับตามองในทุกๆเกม ใครพลาดก่อนแม้แต่นัดเดียว มีสิทธิ์หลุดวงโคจรสูง

ทีมที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะเอาตัวรอดจากสมรภูมิที่ดุเดือดแห่งนี้ไปได้

มารอดูกันว่าบทสุดท้ายใครจะทำสำเร็จครับ

#ศาลาผี


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด