รังนิกคนชักนำฟลิคสู่บาร์ซ่า

ราล์ฟ รังนิก เทรนเนอร์วัย 66 ปีของทีมชาติออสเตรียได้เปิดใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับ บาร์เซโลน่า พร้อมกล่าวชื่นชมหลักการและวิสัยทัศน์สำหรับอนาคตภายใต้การดูแลของ ฮันซี่ ฟลิค เทรนเนอร์ร่วมชาติของเขา
รังนิก เริ่มต้นด้วยการพูดถึงความสัมพันธ์ของเขากับ โจน ลาปอร์ต้า ประธานสโมสรคนปัจจุบันของ บาร์เซโลน่า ซึ่งให้ความเคารพและชื่นชมปรัชญาฟุตบอลของเทรนเนอร์วัย 66 ปี ที่มีบทบาทสำคัญในการให้แนะนำ ฟลิค เป็นตัวเลือกของทัพอาซูลกราน่าในช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้ว
ลาปอร์ต้า ยังถามด้วยว่าเขาจะต้องทำอย่างไรจึงจะนำแนวคิดนี้ไปใช้กับสโมสรอย่าง บาร์เซโลน่า ในอนาคต
''นั่นฟังดูน่าสนใจมาก และคุณต้องการโค้ชแบบไหนสำหรับสิ่งนั้น?' เขาถามผม และผมก็ตอบว่าเราต้องการโค้ชสมัยใหม่ที่ชอบทำงานกับนักเตะอายุน้อย'
'ถ้าคุณเล่นกับนักเตะอายุน้อยเหมือนกับที่ บาร์เซโลน่า ทำ คุณต้องไว้วางใจพวกเขา ผมบอกกับ ลาปอร์ต้า คุณต้องปล่อยให้พวกเขาเล่นเหมือนลูกหมาป่าตัวน้อยๆ ถ้าคุณบอกพวกเขาว่าอย่าทำแบบนั้นและอย่าเสี่ยงมากเกินไป มันจะไม่เวิร์ค'
'ถ้าคุณต้องการเล่นกับนักเตะอายุน้อย คุณต้องเสี่ยงบ้าง ปล่อยให้พวกเขาเล่นไป'
ความสัมพันธ์กับฝ่ายบริหารของสโมสรไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น รังนิก เผยว่าเขายังคงติดต่อกับรองประธานสโมสร บาร์เซโลน่า มาจนถึงปัจจุบัน
'ใช่, (ราฟา) ยูสเต้ ยังคงติดต่อกับผม โดยส่ง WhatsApp มาทุกๆสองเดือน' เทรนเนอร์วัย 66 ปีเผย
รังนิก ยังพูดถึงอิทธิพลของ โยฮัน ครัฟฟ์ ตำนานแข้งทีมชาติเนเธอร์แลนด์สและ บาร์เซโลน่า รวมถึงตัวตนของทัพอาซูลกราน่า โดยเผยว่าตำนานชาวดัตช์ไม่เพียงแต่มีอิทธิพลเท่านั้น แต่ยังเป็นไอดอลในวัยเด็กที่ช่วยหล่อหลอมอาชีพของเขาด้วย
'ผมอยากเป็นเหมือนเขา ผมเคยเล่นให้สโมสรแห่งหนึ่งในเมืองของผม ผมเป็นกัปตันทีม และในตอนนั้น นักเตะเล่นด้วยหมายเลข 1 ถึง 11 ผมถามโค้ชในตอนนั้นว่าผมสามารถเล่นด้วยหมายเลข 14 ได้หรือไม่ และผมทำสำเร็จ'
'ดังนั้นผมจึงเป็นนักเตะเพียงคนเดียวในทีมที่ได้รับอนุญาตให้เล่นด้วยหมายเลข 14 สำหรับผมแล้ว โยฮัน คือผู้เล่นหมายเลข 10 ยุคใหม่คนแรก'
รังนิก ยังเชื่อว่ามรดกยิ่งใหญ่ที่สุดของ ครัฟฟ์ ที่ บาร์เซโลน่า คือการสร้างตัวตนในวงการฟุตบอลที่ยั่งยืน ซึ่งนำทางสโมสรผ่านการเปลี่ยนแปลงโค้ชทุกครั้ง
'ชัดเจนว่าหลังจากเลิกเล่นฟุตบอลแล้ว เขาน่าจะมีบทบาทสำคัญในสโมสร ไม่ว่าจะเป็นในฐานะโค้ชหรือผู้อำนวยการกีฬา อิทธิพลของเขาที่มีต่อสโมสรอย่าง อาแจ็กซ์ และ บาร์เซโลน่า มีมากมายมหาศาล'
'ความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่สุดของ โยฮัน ครัฟฟ์ หลังจากเลิกเล่นฟุตบอลคือเอกลักษณ์องค์กรที่ยังคงอยู่กับทั้งสองสโมสร ซึ่งเป็นสิ่งที่สโมสรอื่นไม่มี'
ทุกครั้งที่ บาร์เซโลน่า ตัดสินใจเปลี่ยนโค้ช ผู้มาใหม่จะต้องสามารถใช้แนวทางเดียวกันได้ และตลอด 15, 25 หรือ 30 ปีที่ผ่านมา พวกเขาเซ็นสัญญากับนักเตะที่คล้ายๆกัน พัฒนาผู้เล่นดาวรุ่งจากอะคาเดมี่ และไม่เคยดึงโค้ชที่ไม่เหมาะสมเข้ามา
'นั่นเป็นหนึ่งในความสำคัญยิ่งใหญ่ที่สุดของ ครัฟฟ์ เพราะเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าการเปลี่ยนโค้ชแต่ละครั้งนั้น การเปลี่ยนแนวทางการเล่นฟุตบอลและสไตล์การเล่นฟุตบอลนั้นไม่สมเหตุสมผลเลย น่าเสียดายที่ปัจจุบัน สโมสรต่างๆไม่ค่อยมี ครัฟฟ์ มากนัก'
รังนิก ยังพูดถึง ฮันซี่ ฟลิค และการเล่นเพรสซิ่งสูงแบบใหม่ที่เทรนเนอร์ชาวเยอรมันนำมาสู่ บาร์เซโลน่า พร้อมชื่นชมการเปลี่ยนแปลงสำคัญในสไตล์การเล่น
'ความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่สุดคือสไตล์การเล่นที่เปลี่ยนโฟกัสของทีม ไลน์แนวรับสูง เพรสซิ่งสูง ผมไม่เคยเห็น บาร์เซโลน่า เล่นแบบนี้มาก่อน มันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง'
'ฮันซี่ เชื่อใจและเชื่อมั่นในตัวนักเตะหนุ่มที่เขากำลังเล่นด้วยในระดับสูง ซึ่งอายุเฉลี่ยของพวกเขาคือ 23 ปี และใช่ อย่างที่ผมพูดไป ฟลิค เชื่อใจและเชื่อมั่นในตัวพวกเขา'
'เขาเป็นเหมือนพ่อของหลายๆคน และใช่ ผมคิดว่าเขาตัดสินใจหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับโค้ชยุคใหม่ เหมือน เจอร์เก้น คล็อปป์ หรือผม'
แม้ รังนิก จะยอมรับว่าเขาไม่ได้ศึกษากลไกภายในสโมสร บาร์เซโลน่า แต่เทรนเนอร์ชาวเยอรมันยอมรับว่า 'ลา มาเซีย' เป็นศูนย์ฝึกแข้งเยาวชนที่ประสบความสำเร็จจนไม่สามารถปฏิเสธได้
'บอกตามตรงว่าไม่ ที่ผมรู้คือพวกเขาเซ็นสัญญากับนักเตะตั้งแต่อายุยังน้อยและพัฒนาพวกเขาในสไตล์ที่ บาร์เซโลน่า ต้องการเล่น นั่นคือฟุตบอลเชิงเทคนิค'
'ในรายละเอียด ผมไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไรที่นั่น แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทำหลายอย่างได้ดี ใช่ไหม?'
'ประโยชน์อยู่ตรงนั้น โดยมีนักเตะ 8 หรือ 9 คนจากอะคาเดมี่ในทีมชุดใหญ่ และทีมชาติสเปนที่เล่นกับ โปรตุเกส ก็มีนักเตะอายุต่ำกว่า 20 ปี 9 คนก็ทำบางอย่างที่คล้ายกัน'
รังนิก ยังมองเห็นว่าแกนหลักของทีมชุดปัจจุบันที่มีนักเตะอายุน้อยเป็นกุญแจสำคัญสู่ความโดดเด่นในอนาคต หากพวกเขายังรักษาทีมไว้ได้
'จะเกิดอะไรขึ้นกับ บาร์เซโลน่า หรือ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในอีก 2 หรือ 3 ปีข้างหน้า หากพวกเขาสามารถรักษาทีมไว้ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น ผมไม่เห็นว่าทีมไหนจะเอาชนะพวกเขาได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า'
ตบท้ายด้วยการกล่าวถึง ลามีน ยามาล ที่เขายกย่องเป็นพิเศษว่า 'ทุกศตวรรษ คุณจะมีนักเตะแบบนั้น'
'ด้วยวัยเพียง 17 ปี แต่มีความเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ ถ้าคุณดูเขาเล่น มันเหมือนกับว่าเขามาจากอีกโลกหนึ่ง ไม่น่าเชื่อเลย เป็นนักเตะที่น่าเหลือเชื่อมาก'