200 ประตู 500 เกม ตำนานตลอดไป

ขณะที่ลูกกำลังจะผ่านมือ อเล็กซ์ พาลเมอร์ ผู้รักษาประตู อิปสวิช ผู้คนในสนามคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ต่างก็กลั้นหายใจด้วยความหวัง ก่อนจะระเบิดความดีใจตกับประตูที่ วาร์ดี้ ยิงให้ทีมเป็นครั้งสุดท้าย
เขาพุ่งไปหาแฟนบอล อิปสวิช พร้อมเอานิ้วแตะที่ริมฝีปากก่อนจะชูธงที่มุมสนาม ซึ่งไม่มีใครสงสัยเลยว่านี่คือวันของเขา
"ผมพลาดไปสองเกมก่อนหน้า แต่ครั้งนี้เมื่อ เจเจ (เจมส์ จัสติน) จ่ายมันมาให้ผม ผมจะไม่มีวันพลาดมันอีก" วาร์ดี้ กล่าว
"ชัดเจนว่าการถูกแฟนทีมเยือนด่า มีเพียงที่เดียวที่ผมจะไป"
การลงเล่นเกมที่ 500 และนัดสุดท้ายคงไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว และการตกชั้นของ เลสเตอร์ ซึ่งเกิดขึ้นในฤดูกาลที่ย่ำแย่ ก็ถูกลืมไปชั่วครู่ขณะที่ วาร์ดี้ ครอบงำเรื่องราวต่างๆ เหมือนอย่างที่เขามักจะทำ
แชมป์พรีเมียร์ลีก, แชมป์เอฟเอ คัพ, แชมเปี้ยนส์ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ, คอนเฟอเรนซ์ ลีก รอบรองชนะเลิศ, แชมป์แชมเปี้ยนชิพ 2 สมัย เขาเขียนชื่อตัวเองลงในหน้าตำนาน เลสเตอร์ อย่างไม่มีใครคาดคิด
"มันน่าทึ่งมาก มันเหมือนรถไฟเหาะ มันเป็นแบบนั้นเลย" เขากล่าวหลังจาก เลสเตอร์ เปิดบ้านชนะ อิปสวิช 2-0
"แต่สิ่งที่ดีคือมีช่วงที่ขึ้นสูงมากกว่าลงต่ำ และผมขอขอบคุณทุกคน ผมไม่คิดเลยว่าเราจะได้ไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก เราจะได้แชมป์ลีก และเราทุกคนเคยไปที่นั่นด้วยเหตุผลบางอย่าง"
ตอนนี้ แชมเปี้ยนส์ลีกกลายเป็นความทรงจำที่เลือนลาง มีรอยร้าวเกิดขึ้นที่ เลสเตอร์ แฟนบอลไม่พอใจกับการบริหารสโมสรหลังจากการตกชั้นครั้งที่สองในรอบสามฤดูกาล แต่ วาร์ดี้ เปรียบเสมือนสายล่อฟ้าที่รวมทีมและขับเคลื่อนสโมสรไปข้างหน้าตลอดระยะเวลา 13 ปีที่รับใช้ทีม
อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษวัย 38 ปี จะไปเล่นที่อื่น แต่ จิ้งจอก จำเป็นต้องหาตัวแทน แต่การผลักตัวเองออกจาก วาร์ดี้ นั้นก็เป็นเรื่องยาก
"พวกเขาโอเค พวกเขาจะโอเค" วาร์ดี้ กล่าวเมื่อถูกถามว่า เลสเตอร์ จะเดินหน้าต่อไปอย่างไรเมื่อไม่มีเขา
"เรามีทีมที่ดีและมีนักเตะดาวรุ่งมากมาย ผมดีใจที่ผมไม่ใช่พวกเขา เพราะฟุตบอลเป็นเกมที่ฆ่าจิตใจ และถ้าให้พูดตามตรง ผมไม่สามารถทำมันได้อีกแล้ว"
"แต่ผมสนุกกับทุกนาทีของมัน และผมตั้งตารอที่จะติดตามสโมสรที่ผมรัก"
"นักเตะและคนที่ไม่เหมือนใคร กัปตันทีมที่ยอดเยี่ยม"
เกมดังกล่าวเป็นเพียงการลองเชิง ทั้งสองทีมจะพบกันในแชมเปี้ยนชิพฤดูกาลหน้า โดยพวกเขาต่างก็ตกชั้น
เกมดังกล่าวมีการแสดงความเคารพต่อชายผู้นี้ที่เวทีกลาง
แบนเนอร์สีน้ำเงินสี่ผืนที่มีรูปของ วาร์ดี้ ถูกชักขึนจากทั้งสองด้านไปยังหลังคาสนาม ขณะที่ธงบนสนามแสดงไฮไลท์ของอาชีพค้าแข้งของเขากับ เลสเตอร์ ตั้งแต่การคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกและเอฟเอ คัพ ไปจนถึงการฉลองประตูบางลูก
แฟนบอลหลายพันคนโบกธงของตัวเองพร้อมข้อความ 'Thank you Vards' และจอภาพขนาดใหญ่ก็ฉายข้อความ 'Goodbye to the Goat'
วาร์ดี้ ต้องการออกจากสโมสรต่อหน้าแฟนบอล เลสเตอร์ เอง เพื่อปิดฉากอาชีพค้าแข้งกับทีม จิ้งจอก ด้วยการลงเล่นเกมที่ 500 แทนที่จะไปปิดฉากในนัดเยือน บอร์นมัธ สัปดาห์หน้า
มันเหมาะสมและเขาได้รับการตั้งแถวเพื่อเป็นเกียรติโดยเพื่อนร่วมทีมและเจ้าหน้าที่เมื่อเขาถูกเปลี่ยนตัวออกเมื่อเหลือเวลา 10 นาทีสุดท้าย
"หากคุณยิงประตูที่ 200 จากการลงเล่นนัดที่ 500 คุณก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมแล้ว" รุด ฟาน นิสเตลรอย กุนซือ เลสเตอร์ กล่าว
"เขาเป็นนักเตะและบุคคลที่ไม่เหมือนใครสำหรับสโมสรแห่งนี้ ในอีกหลายปีข้างหน้า เราจะรู้ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลานี้ เขามีคาแร็กเตอร์ที่ดี มีเรื่องราวและจุดเด่นในตัวเขา เขาเป็นกัปตันทีมที่ยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน"
"เราถูกกระตุ้นให้ทำผลงานเพื่อ เจมี่ แต่ยังต้องการโมเมนตัมเพิ่มเติมหลังจากชัยชนะเหนือ เซาธ์แฮมป์ตัน และแต้มจากการพบ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ มีด้านบวกอยู่บ้างในช่วงท้ายฤดูกาล"
การตั้งแถวถูกทำซ้ำหลังเกมโดยมีดาวเตะที่เคยคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกร่วมกับเขา โดย เวส มอร์แกน, มาร์ค อัลไบรท์ตัน, เจฟฟรี่ย์ ชลุปป์, แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ และ แดนนี่ ซิมพ์สัน ยืนเรียงแถวเพื่อแสดงความเคารพในขณะที่ ไนเจล เพียร์สัน ผู้จัดการทีมที่เป็นคนนำ วาร์ดี้ มาสู่สโมสรก็ชมการแข่งขันเช่นกัน
อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรโอบกอดเขาและมีการตัดต่อภาพประตูของ วาร์ดี้ และช่วงเวลาอันยอดเยี่ยมบนจอขนาดใหญ่ขณะที่เขาดูการแข่งขันกับครอบครัวของเขาในวงกลมตรงกลาง
เขาได้รับของที่ระลึกจากจิ้งจอกสีทองและยังได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้เล่นประจำฤดูกาลของสโมสรก่อนที่จะกล่าวปราศรัยกับแฟนๆ เป็นครั้งสุดท้าย
"สิ่งเดียวที่ผมพูดได้จากใจจริงคือขอบคุณที่รับผมและครอบครัวมาเป็นส่วนหนึ่งของคุณ"
"ขอบคุณทุกคนมาก"
"เต็มที่กับทุกสิ่งที่ทำ"
ลองนึกถึง เจมี่ วาร์ดี้ และแม้กระทั่งคนที่แทบไม่สนใจ เลสเตอร์ เลย ชื่อของเขาก็ยังทำให้หวนนึกถึงลูกฮาล์ฟวอลเลย์ใส่ ลิเวอร์พูล ในปี 2015-16 หรือจะเป็นประตูที่ทำลายสถิติซึ่งยิงใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้า และประตูจากการตอกส้นที่เป็นลูกแรกของเขาในนามทีมชาติอังกฤษที่ยิงใส่ เยอรมัน
ทั้งหมดนี้มาจากกองหน้าคนหนึ่งที่เคยเป็นนักเตะนอกลีกที่ค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์เมื่อเขาย้ายมาอยู่ เลสเตอร์ ในปี 2012
แทบไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะสร้างผลกระทบที่คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากยิงเพียง 5 ประตู ในฤดูกาลแรกของเขาบนเวทีแชมเปี้ยนชิพ
"เขามักจะมีมุขตลกและเต็มที่เสมอในทุกสิ่งที่ทำ" มาร์ค ชวาเซอร์ อดีตเพื่อนร่วมทีมกล่าว
"ไม่มีใครมองว่า เลสเตอร์ จะทำได้ (คว้าแชมป์ลีกในปี 2016)"
วาร์ดี้ บอกว่าการปรับปรุงนั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ โดยช่วงก่อนเกมตลอดทั้งวัน เขาเริ่มดื่มเร้ดบูลล์ 3 กระป๋อง และดับเบิ้ลเอสเพรสโซ่ และกินชีสและไข่เจียวแฮมกับถั่วอบ
เขายังดื่มลูโคซาดในตอนเย็นก่อนเกมระหว่างฤดูกาล 2015-16 โดยเลิกดื่มสคิทเทิลวอดก้า ซึ่งเป็นเครื่องดื่มโปรดในอดีตและต้องละลายขนมในแอลกอฮอล์
มันช่วยให้เขายิงไป 24 ประตู ช่วยให้ เลสเตอร์ คว้าแชมป์ลีก และเขาได้รับรางวัลรองเท้าทองคำของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2019-20 ทำให้เขากลายเป็นนักเตะอายุมากที่สุดที่ได้รางวัลนี้
ในปี 2016 เคลาดิโอ รานิเอรี่ ผู้จัดการทีม เลสเตอร์ ชุดคว้าแชมป์ลีก กล่าวถึง วาร์ดี้ ว่าเหมือน "สุดยอดม้า" ขณะที่ทีมกำลังไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ลีก
แม้ว่าดาวเตะวัยดึกจะไม่ใช่ม้าเธอร์รัพเบรต อีกต่อไปแล้ว แต่เขาก็เป็นที่จดจำในฐานะม้าที่พา เลสเตอร์ ทั้งขึ้นและลงในฐานะม้าชุดคว้าแชมป์คนสุดท้ายที่ออกจากถิ่นคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม
นั่นคือจุดสิ้นสุดของยุคสมัย และ เลสเตอร์ ต้องหาสตาร์ดวงใหม่ แต่พวกเขาจะไม่มีวันหาใครที่เหมือนกับ เจมี่ วาร์ดี้ ได้อีกแล้ว
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT