'บลอนด์ มาราโดน่า'

นายใหญ่ชาวโปรตุเกส เอ่ยถึง ไอเดอร์ กุ๊ดยอห์นเซ่น ที่เข้ามารับหน้าที่แทนในตำแหน่งกองกลางคัวรับ ด้วยการประกาศว่าเขาดูเหมือน "มาราโดน่า ผมบลอนด์" ในเกมบ่ายวันนั้น
ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นตาตื่นใจกับการปรับบทบาทครั้งสำคัญของ กุ๊ดยอห์นเซ่น ที่มาเป็นตัวสร้างสรรค์เกมตั้งแต่แนวลึก และเล่นในตำแหน่งนั้นนานเกือบปี
ถึงแม้เราจะจดจำนักเตะชาวไอซ์แลนด์ ผู้นี้ในฐานะหนึ่งในกองหน้าผู้ยิ่งใหญ่ของสโมสร แต่ช่วงเวลาที่บทบาทเงียบลงกลับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจสำหรับหนึ่งในผู้เล่นที่เก่งและมีเทคนิคมากที่สุดในยุคปัจจุบัน
การทดลองไปเล่นกองกลางของ กุ๊ดยอห์นเซ่น เริ่มต้นในเกมที่มีเดิมพันสูง นั่นคือนเกมชิงชนะเลิศ ลีก คัพ ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2005 โดยช่วงพักครึ่งที่ คาร์ดิฟฟ์ ทีมตามหลัง ลิเวอร์พูล 0-1 และดูเหมือนอะไรๆ จะไม่เข้าที่เข้าทางเอาซะเลย นับเป็นครั้งแรกที่มีความน่ากังวลอย่างแท้จริงของฤดูกาลที่ทุกอย่างราบรื่นมาตลอด
สองเกมก่อนหน้านัดจบลงด้วยความพ่ายแพ้ เริ่มจากแพ้ นิวคาสเซิ่ล ในเกม เอฟเอ คัพ จากนั้นก็แพ้ บาร์เซโลน่า ในเกมเลกแรกของรอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และมันก็เริ่มมีคำถามเกิดขึ้นว่าทีมจะสามารถรับมือกับความสั่นคลอนนี้ได้หรือไม่? คู่แข่งจับทางได้แล้วหมดแล้วรึเปล่า?
เพื่อที่จะตอบคำถามนั้นเราต้องพิจารณาแนวทางที่ทีมเล่นในฤดูกาลนั้น สิ่งแรกที่ทำคือการเปลี่ยนระบบการเล่นแบบสลับตำแหน่งโดยให้ โคล้ด มาเกเลเล่ ถอยลงมาลึกกว่ากองกลางคนอื่น ทำให้ทีมมีความได้เปรียบในเชิงจำนวนผู้เล่นในแดนกลางเหนือกว่าทีมที่เล่นระบบ 4-4-2
หลังจากที่เริ่มเล่นแบบ "ไดมอนด์" และประสบความสำเร็จแม้จะไม่ได้โดดเด่นนัก โชเซ่ มูรินโญ่ ตัดสินใจเปลี่ยนมาเป็นระบบ 4-3-3 ซึ่งสามารถปรับเป็น 4-5-1 ได้เมื่อทีมต้องถอยลงไปรับ นั่นหมายถึงการเสียกองหน้าตัวกลางไปแล้วเล่นด้วยผู้เล่นแนวรุกริมเส้นแทน มันช่วยเปิดพื้นที่ด้วยการบุกทางด้านข้างและมองหากองหน้าด้วยการเปิดบอลเข้าเขตโทษ ซึ่งนั่นก็คือ ดิดิเยร์ ดร็อกบา
อีกทางหนึ่งแข้งริมเส้นสามารถตัดเข้ามาตรงกลางในขณะที่กองหน้าตัวเป้าขยับถอยลงมาและใช้ประโยชน์จากการเล่นบอลอันชาญฉลาดและจ่ายบอลทะลุข่องอย่างที่พวกเขาทำยามที่ กุ๊ดยอห์นเซ่น ได้รับเลือกให้ยืนหน้าเป้า
การที่แข้งทีมชาติไอซ์แลนด์ ต้องขยับลงมาอยู่ตรงกลางในท้ายที่สุดมาจากปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ประการแรกคือความจริงที่มีเพียงเขาและ ดร็อกบา ที่สามารถเล่นกองหน้า
อีกเรื่องคือการมีมิดฟิลด์คนที่ 3 เคียงข้าง แฟร้งค์ แลมพาร์ด เมื่อ มาเกเลเล่ ถอยลงมาค่ำ - ติอาโก้ เล่นในตำแหน่งนั้นบ่อยกว่าเพื่อนในฤดูกาล 2004/05 แต่ เฌเรมี และ อเล็กเซ สเมอร์ติน ก็ได้โอกาสลงเล่นในช่วงต้นซีซั่น ทุกคนทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี แต่ก็มีช่องว่างสำหรับตัวเลือกที่มี "ศิลป์" มากกว่า
ท้ายที่สุดแล้วคู่แข่งก็เริ่มตามติด มาเกเลเล่ เพื่อหยุดเขาจากการแย่งบอลและเริ่มต้นเกมรุก เพื่อแก้ไขจุดนี้ทีมต้องการทางเลือกอื่นในแผงมิดฟิลด์ที่สามารถรับบอลและเล่นได้อย่างสบายๆ หน้าประตู พร้อมทั้งเปลี่้ยนจังหวะมาเล่นเกมรุกเร็วได้ แบ่งเบาภระของ มาเกเลเล่
การขยับ กุ๊ดยอห์นเซ่น มาทำหน้าที่นี้ช่วยแก้ไขปัญหาทั้ง 3 เรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นการแก้ปัญหาเชิงกลยุทธ์อย่างสมบูรณ์แบบอย่างที่ มูรินโญ่ อธิบาว่า "ถ้าผมมีกองกลางแบบสามเหลี่ยม - มาเกเลเล่ อยู่ข้างหลัง และอีก 2 คนจ้างหน้า ผมจะได้เปรียบเสมอเมื่อเจอกับแผน 4-4-2 ที่ใช้กองกลางตัวรับคู่กัน นั่นเป็นเพราะผมจะมีคนมากกว่าเสมอ"
"มันเริ่มจาก มาเกเลเล่ ที่ยืนอยู่ระหว่างแนวรับกับมิดฟิลด์ ถ้าไม่มีใครขวางเขาจะเห็นทั้งสนามและมีเวลา ถ้าเขาถูกปิดพื้นที่หมายความว่ากองกลางอีก 2 คนจะว่างอยู่ ถ้าพวกเขาโดนปิดพื้นที่และปีกคู่แข่งเข้ามาช่วย นั่นหมายความว่าตอนนี้เราจะมีพื้นที่ทางริมเส้น ไม่ว่าจะเป็นปีกหรือฟูล-แบ็ก ไม่มีสิ่งที่ระบบ 4-4-2 แบบดั้งเดิมจะทำได้เพื่อหยุดมัน"
ด้วยมุมมองนี้ ย้อนกลับไปในเกมที่สนาม มิลเลนเนียม สเตเดี้ยม วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2005 ในเกมชิงชนะเลิศ ลีก คัพ ซึ่งทีมตามหลังก่อนจากประตูของ ยอห์น อาร์เน่ รึเซ่ - มูรินโญ่ รู้สึกถึงความจำเป็นในในการสร้างสรรค์เกมและพลังโจมตีที่มากขึ้น จีงตัดสินใจเปลี่ยนผ฿เล่นอย่างกล้าหาญ
เขาถอด ยิรี่ ยาโรซิค ที่เล่นกองกลางตัวรับร่วมกับ มาเกเลเล่ และ แลมพาร์ด แล้วส่ง กุ๊ดยอห์นเซ่น ที่เป็นกองหน้าจอมเทคนิคลงมา จากนั้นในนาทีที่ 74 เขาเปลี่ยน วิลเลียม กัลลาส กองหลังออกแล้วเอา มาเตย่า เคซมัน กองหน้าลงมาคู่กับ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ในแดนหน้า
มันได้ผล! ด้วยการเพรสซิ่งของทีมนำมาซึ่งประตูตีเสมอ - การทำเข้าประตูตัวเองของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่มีข่าวลือเรื่องจะย้ายมาร่วมเมื่อฤดูกาลจบลง ซึ่งทำให้เกมต้องสู้กันในช่วงต่อเวลาพิเศษ โดยประตูของ ดร็อกบา และ เคซมัน ทำให้ทีมชนะ 3-2 และคว้าแชมป์รายการแรกภายใต้การนำของ มูรินโญ่
"มันได้ผลดีมาก" กุ๊ดยอห์นเซ่น กล่าว "มันง่ายที่จะมองข้ามไปเพราะคุณไม่เห็นชื่อผมบนสกอร์บอร์ด แต่บางเกมที่ผมเล่นโดยไม่ได้ทำประตูก็ถือว่าอยู่ในมาตรฐานที่สูงมากและนี่ก็เป็นหนึ่งในเกมเหล่านั้น ผู้คนมากมายเข้ามาหาผมและชื่นชม ไม่ใช่แค่การเล่นกองกลางแต่รวมถึงการลงมาเปลี่ยนเกมด้วย"
กุ๊ดยอห์นเซ่น สร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นในตำแหน่งกองกลาง และเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ที่เหลือของฤดูกาลในตำแหน่งนั้น ช่วยเชื่อมโยงเกม - กองหลัง 4 คนบวกกับมาเกเลเล่ – เข้ากับแนวรุก – แนวรุก 3 คนบวกกับ แลมพาร์ด
"แฟร้งกี้ กับผมเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดี วิ่งช่วยกัน ผมเข้ามาเติมในจังหวะที่เขาลุยไปข้างหน้า ในทางกลับกันเขาก็ทำหน้าที่นั้นด้วย"
กุ๊ดยอห์นเซ่น ได้เหรียญแชมป์ลีกครั้งแรกหลังจากที่เพิ่งได้แชมป์ ลีก คัพ ไม่กี่เดือนก่อนหน้า รวมถึงพลิกสถานการณ์เข้ารอบใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ สานต่อเส้นทางใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้
"ผมสนุกกับบทบาทถอยลงมาต่ำ เรามีกองหน้าที่สมบูรณ์แบบกับการเล่นคนเดียวซึ่งนั่นก็คือ ดิดิเยร์, เรามี มาเกเลเล่, เรามี แฟร้งค์ แล้วก็ผมที่อยู่ในตำแหน่งกึ่งรุก-กึ่งรับ ผมรู้ว่า แฟร้งค์ วิ่งเยอะมาก ดังนั้นผมต้องระวังไม่วิ่งขึ้นหน้ามากเกินไป มันเป็นไปด้วยดี ผมลงในตำแหน่งเดียวกันนี้ในเกมกับ บาร์เซโลน่า ซึ่งมันก็ได้ผล มันค่อยๆ กลายเป็นตำแหน่งของผมราวกับว่า 'ตอนนี้ฉันเป็นกองกลางแล้ว'"
ฤดูกาลถัดไป กุ๊ดยอห์นเซ่น เผชิญการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นเมื่อมี เอร์นาน เกรสโป เข้ามารวมถึง คาร์ลตัน โคล ที่กลับมาจากยืมตัว ทำให้ทีมมีกองหน้า 4 คนแย่งตำแหน่งกัย ขณะที่ เอสเซียง ก็เข้ามาประสานงานกับ มาเกเลเล่ และ แลมพาร์ด ซึ่ง กุ๊ดยอห์นเซ่น ถูกใช้งานตรงแดนกลางอีกครั้งเมื่อ เอสเซียง เจ็บในเกมกับ เวสต์แฮม ในเดือนมกราคม 2006
แม้ กุ๊ดยอห์นเซ่น จะมีบทบาทสำคัญช่วยทีมชนะที่ อัพตัน พาร์ด 3-1 โดยจ่ายบอลทะลุช่องสุดสวยให้ ดร็อกบา ทำประตูปิดท้าย แต่เขาก็เจอคู่แข่งแย่งชิงตำแหน่งเพิ่มอีกเมื่อ มูรินโญ่ เซ็นมิดฟิลด์คนบ้านเดียวกันอย่าง มานิเช่ เข้ามาด้วยสัญญาบยืมตัวระยะสั้นในตลาดหน้าหนาว
นี่เป็นฤดูกาลสุดท้ายของ กุ๊ดยอห์นเซ่น กับ เชลซี และเขาก็ลงเล่นเป็นตัวจริงน้อยกว่าตลอด 5 ฤดูกาลก่อนหน้านี้กับสโมสร โดยลงเป็นตัวจริงเพียง 16 จาก 38 เกมใน พรีเมียร์ลีก ในขณะที่ทีมป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ
กุ๊ดยอห์นเซ่น ย้ายไปเล่นกับ บาร์เซโลน่า ในฤดูกาลถัดมา แสดงให้เห็นถึงความสามารถเทคนิคอันเหนือชั้น ไม่เพียงแสดงให้เห็นว่าเขาได้รับความเคารพอย่างสูง โดยปิดฉากการเล่นให้กับ เชลซี 163 เกม ทำไป 78 ประตู ได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก 2 สมัย, ลีก คัพ 1 สมัย และ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ 2 สมัย
"ไม่เลวเลยสำหรับเด็กชายจากเกาะเล็กๆ ทางตอนเหนือ" กุ๊ดยอห์นเซ่น พูดเอาไว้ตอนอำลาสโมสร
บางทีจำนวนประตูของเขาอาจจะมากกว่านี้หากใช้เวลทั้งหมดกับสโมสรในฐานะกองหน้า แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคงไม่ได้เห็น "มาราโดน่า ผมบลอนด์"