เจาะรายละเอียดสิงห์พิฆาตหงส์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ประตูชัยในช่วงทดเจ็บนาทีที่ 6 มันยิ่งสะใจเข้าไปใหญ่ เพราะมันเป็นนาทีที่แทบไม้ให้คู่แข่งได้แก้ตัวเลย
ถือเป็นช่วงเวลาที่ให้แฟนบอล เชลซี ได้มีความสุขและได้คุยกันไปยาวๆ กว่าเกมลีกจะกลับมาแข่งกันอีกครั้งในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า
ความยอดเยี่ยมของ มอยเซส
"มีอะไรต้องพูดเกี่ยวกับ มอย อีกไหม?" คำพูดของ วิลลี่ กาบาเยโร่ มือขวาของ เอ็นโซ่ มาเรสก้า หลังจบเกมที่มิดฟิลด์ทีมชาติเอกวาดอร์ ทำประตูสุดสวย
นอกจากทำประตูได้แล้ว ไกเซโด้ ยังทำลายเกมรุกของ ลิเวอร์พูล จากการอ่านเกมและสกัดบอลอย่างแข็งแกร่ง ก่อนจะเป็นคนเริ่มต้นเกมรุกให้ทีมด้วยการทะลวงแนวรับ "หงส์แดง" นำมาซึ่งประตูชัยของทีมด้วย
ไกเซโด้ เก็บบอลได้ 5 ครั้งและเข้าสกัดชนะอีก 2 หน แม้ว่าจะไม่ได้ดีที่สุดในเกมนี้แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือวิธีที่เขาคุมพื้นที่ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบเกม
นี่อาจจะไม่ใช่ฟอร์มที่ดีที่สุดของเขาแต่นี่คือการเล่นด้วยมาตรฐานระดับสูงสุด มันคือฟอร์มการเล่นที่พิเศษมากๆ
โรลล์ส-รีซ
ถืเป็นบทสดสอบที่หนักหน่วงเมื่อทีมต้องเสียทั้ง เบอนัวต์ บาเดียชิล และ จอช อาเชียมปง สองเซนเตอร์ที่ออกสตาร์ทตัวจริงที่ได้รับบาดเจ็บทั้งคู่
จากแบ็กขวาในตำแหน่งถนัดกัปตันทีมคนเก่งจะขยับเข้ามาตรงกลางเพื่อคุมเซนเตอร์ร่วมกับ โรเมโอ ลาเวีย โดยให้ มาโล กุสโต มาทำหน้าที่แบ็กขวาแทน แต่เขาก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม โดยที่เจ้าตัวออกมายอมรับว่าไม่เคยเล่นตรงนี้าก่อน
ตลอดระยะเวลา 40 นาที เจมส์ เข้าสกัดสำเร็จทั้ง 4 ครั้ง ผ่านบอลสำเร็จ 28 จากทั้งหมด 31 ครั้ง ผ่านบอลสำคัญได้ 2 หน และสัมผัสบอล 40 ครั้ง ไม่มีนักเตะคนไหนในสนามที่ทำได้ดีกว่าในช่วงเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้ เจมส์ ยังดวลกลางอากาศชนะได้หนึ่ง 1 ที่ต้องเจอ บวกกับการสกัดบอลอีก 1 ครั้ง และเคลียร์บอลอีก 2 ครั้ง
ตลอดทั้งเกม ไม่มีผู้เล่น เชลซไหนคนใดที่สัมผัสบอล, ชนะการดวล, เข้าสกัด, หรือตัดบอลได้มากกว่า เจมส์ ไม่ว่าจะเป็นในตำแหน่งกองหลังหรือกองกลาง คุณภาพการเล่นของเขาก็ไม่ได้ลดลงเลย กัปตันคนนี้ยังคงเป็นผู้นำด้วยการเป็นแบบอย่างชั้นดี
การฉวยโอกาส
ระหว่างเกมทั้งสองทีมต่างก็มีช่วงเวลาของตัวเองในการทำประตูได้ซึ่ง เชลซี ยกระดับเกมขึ้นมาในช่วงท้าย - มาเรสก้า จัดการเปลี่ยนตัว 3 คนรวดเมื่อเข้าสู่ช่วง 15 นาทีสุดท้าย เพื่อเพิ่มความสดในการบดเกมรับของ ลิเวอร์พูล ในช่วงท้ายเกม
พลังและการเพรสซิ่งของ มาร์ก กีว บีบให้ "หงส์แดง" รีบเร่งและผิดพลาด ในขณะที่ เอสเตเวา และ เจมี่ กิทเท่นส์ เดินหน้าอย่างดุดันและมีพื้นที่ให้เล่น - จอร์จี้ มามาร์ดาชวิลี่ ต้องออกแรงป้องกันประตูกระทั่งท้ายที่สุดมาโดนเจาะตาข่ายในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
ช่วง 15 นาทีสุดท้ายบวกกับช่วงทดเจ็บอีกเกีอบ 10 นาที เชลซี มีโอกาสยิงถึง 7 ครั้ง เข้ากรอบ 5 ครั้งไม่รวมจังหวะชนเสาของ เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ ในขณะที่ฝั่ง ลิเวอร์พูล มีโอกาส 4 ครั้ง แสดงให้เห็นว่าเกมเปิดกว้างแค่ไหน
ค่า xG ของทีมอยู่ที่ 1 ลูกพอดี ซึ่งในช่วง 15 นาทีสุดท้าย ทีมมีค่า xG ที่ 0.83 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นใจการบุกเพื่อทำประตูให้ได้ และเมื่อเกมเข้าสู่ช่วงไคลแม็กซ์ทีมก็พังประตชัยสำเร็จ ถือเป็นรางวัลที่จับต้องได้กับความพยายาม
การใช้พื้นที่อย่างชาญฉลาด
ประตูชัยของ เอสเตเวา เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า "สิงห์บลูส์" ใช้พื้นที่ทางด้านกว้างอย่างมีประสทิธิภาพ
ในจังหวะนั้น มาร์ก กูกูเรย่า และ เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ ประสานงานในกรอบเขตโทษด้านซ้ายทำให้เกิดโอกาสในการเปิดบอลที่ เอสเตเวา สอดมาได้ก่อน แอนดี้ โรเบิร์ตสัน
ช่วงต้นเกม โรเบิร์ต ซานเชซ รวมถึงผู้เล่นคนอื่นไม่กลัวที่จะวางบอลยาวให้ อเลฮานโดร การ์นาโช่ ทางซ้าย ซึ่งการสัมผัสบอลส่วนใหญ่ของแข้งทีมชาติอาร์เจนติน่า เกิดขึ้นในพื้นที่สุดท้ายของสนาม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อันตรายที่สุด
สอดคล้องกับบทสัมภาษณ์ของ มาร์ก กูกูเรย่า ที่เผยถึงแผนของ เอ็นโซ่ มาเรสก้า ที่บอกให้เน้นเจาะไปที่ฝั่งซ้ายของสนาม เพราะ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จะไม่ได้ลงมาช่วยเกมรับอะไรมากนัก และมันก็นำมาซึ่งประตูชัย