รอบชิงชนะเลิศ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดสอง เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา อัล ไอน์ ได้กลับมาเล่นในบ้านตัวเองที่ยูเออี หลังนัดแรกที่ญี่ปุ่นเป็นทาง โยโกฮาม่า มารินอส ของกุนซือ แฮร์รี่ คีเวลล์ เฉือนชนะได้ก่อน 2-1

อัล ไอน์ เริ่มต้นดีออกนำก่อน 1-0 ตั้งแต่ 8 นาทีแรกจากการยิงในเขตโทษของ โยฟียาน ราฮิมี่ ก่อนที่ ราฮีมี่ จะมาเรียกจุดโทษให้ทีมในนาที 33 ที่เป็น มาทิอัส ปาลาซิออส รับหน้าที่ยิงเป็น 2-0 

มารินอส ไม่ถอดใจสามารถทวงคืนมาเป็น 2-1 ในนาที 40 จากการยิงของ ยาน มาเตอุส ทว่าช่วงทดเจ็บ ทีมเยือนจากญี่ปุ่นต้องเหลือผู้เล่น 10 คนเมื่อ วิลเลียม พ็อพพ์ ผู้รักษาประตูได้ใบแดงหลังออกมาตัดฟาวล์ โยฟียาน ราฮิมี่  หน้าเขตโทษ มารินอส จึงต้องถอดกองกลาง อาซาฮี อูเอนากะ ออกแล้วส่งประตูสำรองอย่าง เคโกะ ซาคาคิบาระ ลงเล่น

ครึ่งหลัง อัล ไอน์ นำห่างเป็น 3-1 ในนาที 67 โยฟียาน ราฮิมี่ ที่เด่นสุดๆ ในนัดนี้ทำประตูที่สองของตัวเองหลังได้บอลในเขตโทษฝั่งขวาก่อนล็อกเข้าซ้ายแล้วยิงยัดเสาแรกอย่างเด็ดขาด 

อัล ไอน์ ส่งบอลตุงตาข่ายได้อีกในนาที 76 จาก ลาบ้า ที่ลงเป็นสำรอง แต่จังหวะจ่ายของ อเลฮานโดร โรเมโร่ ล้ำหน้าเสียก่อน จึงไม่ได้เพิ่มลูกที่สี่

ช่วงทดเจ็บ อัล ไอน์ มาได้สองประตูย้ำชัยจากความผิดพลาดของ เคโกะ ซาคาคิบาระ ที่ตัดบอลวืดทำให้ ลาบ้า ได้ส้มหล่นยิงง่ายๆ ยิง 4-1 และอีกลูก มาทิอัส ปาลาซิออส ยิงในเขตโทษ ลาบ้า แหย่เท้าสะกิดบอลอีกทีเข้าไปเป็น 5-1

ทำให้จบเกม อัล ไอน์ เอาชนะคืนได้ขาดลอย 5-1 รวมผลสองนัด อัล ไอน์ คว้าแชมป์ด้วยประตูรวม 6-3 และเป็นการได้แชมป์สมัย 2 ต่อจากสมัยแรกในปี 2003 ซึ่งตอนนี้เอาชนะ บีอีซี เทโรศาสน ของไทยด้วยประตูรวม 2-1

การคว้าแชมป์ในครั้งนี้ทำให้ อัล ไอน์ ได้ไปเล่นในรายการฟีฟ่า อินเตอร์เนชั่นแนล คัพ 2024 และศึกสโมสรโลก 2025 ที่สหรัฐฯ อีกด้วย