"เอลบรุส" มั่นใจสยบ "เสมาเพชร" แบบไม่ครบยก

เอลบรุส ออสมานอฟ มวยฝีมือดีจากรัสเซีย ตั้งเป้าเอาถึงน็อก ยัดเยียดความพ่ายแพ้ 4 ไฟต์ติดให้กับ เสมาเพชร แฟร์เท็กซ์ จอมบู๊ จากเชียงใหม่ อดีตตัวท็อปของแรงกิงรุ่นนี้ โดยทั้งคู่จะสู้กันภายใต้กติกามวยไทย รุ่นแบนตัมเวต (135-145 ป.) ในฐานะคู่เอกของศึก ONE ลุมพินี 125 วันศุกร์ที่ 19 ก.ย.นี้
เอลบรุส เป็นพี่คนโตของพี่น้อง 3 คน เติบโตมากับพ่อผู้เป็นโค้ชและครูคนแรกในชีวิต เริ่มต้นฝึกมวยสากลตั้งแต่อายุเพียง 7 ขวบ และลงสนามครั้งแรกในวัย 10 ปี ก่อนจะสั่งสมประสบการณ์ในระดับสมัครเล่นมากกว่า 300 ไฟต์ จากนั้นจึงขยับต่อยอดไปสู่กติกาคิกบ็อกซิ่งและมวยไทย
ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี จนกระทั่งในปี 2560 เขาต้องเผชิญการสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อพ่อผู้เป็นทั้งโค้ชและแรงบันดาลใจจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่เพียงทำให้เขาต้องก้าวขึ้นมารับบทเสาหลักของครอบครัว แต่ยังกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ส่งเขาเข้าสู่เส้นทางนักสู้ระดับอาชีพ ด้วยคำสัญญาในใจว่าจะสานต่อความฝันของพ่อให้สำเร็จ ด้วยการคว้าแชมป์โลกมาครองให้ได้
นับแต่นั้นมา เอลบรุส มุ่งมั่นฝึกซ้อมอย่างหนัก และตัดสินใจย้ายมาพัฒนาฝีมือที่ประเทศไทย ภายใต้การดูแลของ เมดีห์ ซาทูต ตั้งแต่ปี 2564 โดยก่อนจะก้าวเข้าสู่สังเวียน ONE ลุมพินี เขาสะสมสถิติสุดหรูด้วยผลงานไร้พ่าย 6 ไฟต์ติดต่อกันในระดับอาชีพ
ก้าวแรกของ เอลบรุส บนสังเวียน ONE ลุมพินี เกิดขึ้นในศึก ONE ลุมพินี 3 เมื่อเดือน ก.พ. 66 ซึ่งเขาเปิดหัวกติกาคิกบ็อกซิ่งครั้งแรกบนสังเวียนแห่งนี้ได้อย่างงดงาม ด้วยการงัดท่าไม้ตายหมุนตัวเตะกลับหลังปิดเกมน็อก แปดแสนเล็ก พีเค.แสนชัย
จากนั้นเจ้าตัวเดินหน้าสร้างสถิติสุดโหด กวาดชัยต่อเนื่องถึง 6 ไฟต์รวด ก่อนจะมาสะดุดพ่ายครั้งแรกในระดับอาชีพให้กับ ยูกิ โยซะ ซูเปอร์สตาร์คิกบ็อกซิ่งจากญี่ปุ่น ในศึก ONE ลุมพินี 109 เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา
ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เขาเรียนรู้มากขึ้น และตัดสินใจข้ามสายมาทดสอบตัวเองในกติกามวยไทย และสามารถแจ้งเกิดได้ทันทีด้วยการปิดเกมน็อก คัมภีร์เทวดา สิทธิกุล นักชกไทยเจ้าของแชมป์ Road To ONE Thailand ซีซัน 3 วัย 22 ปี ในศึก ONE ลุมพินี 117 เมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา
ชัยชนะดังกล่าวส่งผลให้ปัจจุบัน เอลบรุส ครองสถิติชนะ 7 จาก 8 ไฟต์ในรายการ ONE ลุมพินี ตอกย้ำให้เห็นว่าเขาคือดาวรุ่งที่พร้อมจะพิสูจน์ตัวเองทั้งในกติกามวยไทยและคิกบ็อกซิ่งและก้าวสู่เวทีระดับโลกในอนาคต
“การแพ้ให้กับ ยูกิ โยซะ ถือเป็นบทเรียนครั้งใหญ่สำหรับผม ทำให้ได้ทบทวนหลาย ๆ อย่าง และต้องปรับปรุงตัวเองใหม่ ซึ่งตอนนี้ผมเริ่มทำได้ดีขึ้นแล้ว ถ้าในอนาคตมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้ง ผมมั่นใจว่าจะสามารถล้างตาเอาชนะเขาได้แน่นอน
ที่ตัดสินใจหันมาสวมนวมเล็ก 4 ออนซ์ ในกติกามวยไทย ก็เพราะผมมีเป้าหมายชัดเจนคือการคว้าสัญญาสู่เวทีระดับโลก ผมเชื่อว่าถ้าสามารถชนะน็อกในกติกามวยไทยได้ อาจเป็นเส้นทางที่ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับการชกคิกบ็อกซิ่งในนวมใหญ่ ผมจึงเลือกข้ามสายมาเพื่อตามล่าสัญญาให้ได้ครับ”
ศึกครั้งนี้ เอลบรุส ต้องเผชิญด่านหินอย่าง เสมาเพชร อดีตผู้ท้าชิงเข็มขัด ONE มวยไทย รุ่นแบนตัมเวต ผู้เคยรั้งตำแหน่งอันดับ 1 ของแรงกิงมาแล้ว แต่ผลงานช่วงหลังเจ้าตัวสะดุดแพ้แบบไม่ครบยกติดต่อกันถึง 3 ไฟต์ โดยเฉพาะไฟต์ล่าสุดที่พ่ายทีเคโอต่อ อับดุลลา ดายาคาเอฟ เพื่อนร่วมทีมของ เอลบรุส ในศึก ONE Fight Night 31 เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ทำให้เขาอยู่ในสถานการณ์หลังพิงฝา และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสาดอาวุธทุกอย่างที่มีเพื่อกลับมาแจ้งเกิดเป็นผู้ชนะให้ได้อีกครั้ง
เอลบรุส ยอมรับนับถือในความสามารถของคู่ชกชาวไทยรายนี้เป็นอย่างมาก แต่เมื่อขึ้นสังเวียนแล้ว เขาต้องสู้เต็มที่ไม่มีออมมือ โดยหวังว่าหากเขาสามารถชนะน็อกมวยเบอร์ใหญ่อย่าง เสมาเพชร ได้อย่างสวยงามจะเป็นการเปิดเส้นทางสู่การคว้าสัญญา ONE ในอนาคต
“เสมาเพชร เป็นนักสู้ที่อันตรายมาก โดยเฉพาะการเป็นมวยการ์ดซ้ายที่ปล่อยหมัดขวาได้เฉียบคม แต่จากสามไฟต์หลังที่เขาพ่ายน็อก ผมมองว่าจุดอ่อนของเขาอยู่ที่คาง
ผมนับถือเขามาก แต่เมื่อถึงเวลาขึ้นสังเวียน เราต้องสู้กันสุดชีวิต ถ้าไม่น็อกเขา ผมก็ถูกน็อกเอง ผมกระหายชัยชนะอย่างที่สุด และมีความมุ่งมั่นมากกว่าเขา ไฟต์นี้ผมจะปิดเกมและทำให้เขาหลับสนิทแน่นอน
ผมเห็นภาพตัวเองได้สัญญา ONE มาตลอด และถ้าวันนั้นมาถึงจริง ๆ มันจะเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่มาก ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งของ วัน แชมเปียนชิพ และมั่นใจเต็มร้อยว่าผมคู่ควร”