"พระจันทร์ฉาย-เมืองไทย-ป้อมเพชร" พร้อมลุยศึกใหญ่ ONE

พระจันทร์ฉาย พีเค.แสนชัย แชมป์โลก ONE มวยไทย และ คิกบ็อกซิ่ง รุ่นสตรอว์เวต (115-125 ป.) ร่วมด้วย ขุนศอกผีดิบ เมืองไทย พีเค.แสนชัย และ ป้อมเพชร พานทองยิม 3 จอมบู๊แห่งค่ายมวยดัง พีเค.แสนชัยมวยไทยยิม โชว์ความฟิต ก่อนควงแขนกันตามล่าชัยชนะในศึกใหญ่
เริ่มที่ พระจันทร์ฉาย มีโปรแกรมเปิดศึกรีแมตช์เดือดกับ โจนาธาน ดิ เบลลา แชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นสตรอว์เวต เฉพาะกาล ตัวแทนอิตาลี-แคนาดา ในศึก ONE Fight Night 36 วันเสาร์ที่ 4 ต.ค.68 เพื่อหาสุดยอดฝีมือขึ้นแท่นราชันเพียงหนึ่งเดียวของรุ่นนี้ หลังเจอกันครั้งแรกในศึก ONE ลุมพินี 68 เมื่อเดือน มิ.ย.67 พระจันทร์ฉาย เป็นฝ่ายเอาชนะคะแนนเอกฉันท์ คว้าแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นสตรอว์เวต ที่ว่างอยู่ในตอนนั้นไปครอง และกลายเป็นแชมป์โลก ONE 2 กติกา (มวยไทย และ คิกบ็อกซิ่ง) อย่างยิ่งใหญ่
สำหรับ พระจันทร์ฉาย ที่ไม่แพ้ใครในทั้ง 2 กติกามานานกว่า 2 ปี แสดงความมั่นใจว่า จะโชว์ความเหนือชั้นตอกย้ำชัยชนะเหนือ ดิ เบลลา ได้อีกครั้ง เพื่อรักษาสถานะแชมป์โลก ONE 2 กติกาแห่งรุ่นสตรอว์เวต ให้คงอยู่ในมือของนักกีฬาไทยต่อไป
“หลังจบไฟต์ภาคแรก ดิ เบลลา ยังข้องใจว่าเขาแพ้ตรงไหน ผมเองก็กลับไปดูเทปการชกอย่างละเอียด ให้เห็นชัด ๆ ว่าใครทำได้ดีกว่ากัน และถ้าวัดที่การออกอาวุธเข้าเป้า ผมมั่นใจว่าผมเป็นฝ่ายชนะ
ส่วนครั้งนี้ ผมคาดเดาไม่ได้ว่าจะยากหรือง่ายกว่าภาคแรก เพราะต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าเตรียมแผนกันมาอย่างไร แต่ผมคิดว่า ดิ เบลลา น่าจะแก้ทางลูกเข่ามา เพราะวันนั้นเขาโดนเข่าผมไปเยอะ สำหรับผมเองเก็บตัวเต็ม ๆ 11 สัปดาห์ ตอนนี้พร้อมเกินร้อย และยังได้โค้ชคิกบ็อกซิ่งคนใหม่มาช่วยสอนให้โดยตรงด้วย มั่นใจว่ามีของมาโชว์เยอะเลยครับ
ฝากถึง ดิ เบลลา ไม่ต้องกลัวว่าผมจะหนี วันที่ 4 ต.ค.นี้ เราได้วัดกันบนเวทีแน่นอน เพราะตรงนั้นมีแค่ผมและคุณแค่สองคนเท่านั้น เดี๋ยวได้รู้ว่าใครจะแน่กว่ากัน เข็มขัดแชมป์ต้องยังอยู่ที่ประเทศไทยครับ”
ขณะที่อีก 2 คน จะขึ้นชกในรายการ ONE ลุมพินี 126 ซึ่งจะเปิดฉากขึ้นในวันศุกร์ที่ 26 ก.ย.นี้ โดย เมืองไทย เตรียมวัดพลังแกร่งกับ แอนตาร์ คาเซม จอมแกร่ง วัย 26 ปี สัญชาติฝรั่งเศส-เบลารุส ในกติกามวยไทย 140 ป. ส่วน ป้อมเพชร นัดเคลียร์ดรามาคู่ปรับเก่า ยอดเหล็กเพชร อ.อัจฉริยะ จอมเก๋ารุ่นพี่ วัย 30 ปี จากร้อยเอ็ด ในศึกภาค 2 ภายใต้กติกามวยไทย รุ่นฟลายเวต (125-135 ป.) หลังตกเป็นฝ่ายแพ้คะแนนไม่เอกฉันท์ในภาคแรก
โดย เมืองไทย ประกาศขอสานต่อฟอร์มเก่งให้สมที่ได้รับยกย่องเป็น มือปราบมวยต่างชาติ โดยยืนยันไม่หวั่นต้องรับมือคู่ชกที่สูงใหญ่กว่าอย่าง แอนตาร์ เล็งใช้อาวุธหนักเล่นงาน ลุ้นถึงขั้นปิดเกมเร็ว ยืดสถิติเก็บชัยต่อเนื่องเป็นไฟต์ที่ 4 ในรายการให้ได้
“แอนตาร์ ถือเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวในระดับหนึ่ง จุดแข็งของเขาคืออกหมัดได้เร็วและคม แต่เรื่องพลังยังไม่หนักเท่าไร ส่วนจุดอ่อนที่อาจเป็นช่องโหว่คือเกมวงใน เวลาปะทะยังดูไม่แข็งแรงนัก อย่างไรก็ตาม ผมไม่ประมาทแน่นอนครับ
ถึงแม้ผมจะตัวเล็กกว่าและอาจเข้าถึงตัวเขาได้ยาก แต่ที่ผ่านมา ผมก็เคยเจอนักมวยรูปร่างสูงใหญ่มาแล้วหลายครั้ง จึงไม่กังวลมากนัก ไฟต์นี้ผมยังยึดสไตล์เดิมคือเดินชน บู๊ ดุดัน ชวนแลก เพียงแต่จะเพิ่มความระวังให้มากขึ้น และถ้าผมเก็บชัยชนะได้สวย ๆ ก็อาจมีโอกาสได้สัญญา ONE ต้องรอดูกันว่าผลงานครั้งนี้จะเข้าตา บอสชาตรี หรือเปล่าครับ”
ขณะที่ ป้อมเพชร เตรียมนำข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการเจอกับ ยอดเหล็กเพชร ในไฟต์แรกมาปรับปรุง หวังแสดงผลงานออกมาให้ดีกว่าเดิม เพื่อเผด็จศึกถอนแค้นเอาคืนรุ่นพี่ขาโหดให้จบแบบชัดเจน เพื่อที่ทุกฝ่ายจะได้เลิกดรามาหายขัดข้องใจต่อกัน
“ผมดีใจมากที่ได้โอกาสล้างตากับพี่ยอดเหล็กเพชร และได้มีส่วนร่วมในรายการใหญ่ครั้งนี้ หลังจากย้อนดูไฟต์แรก ผมเห็นว่าตัวเองยังมีข้อผิดพลาดหลายจุด ถึงแม้จะเป็นฝ่ายออกอาวุธมากกว่า แต่กลับเข้าเป้าน้อย ไฟต์นี้ผมจึงทำการบ้านอย่างหนัก เพื่อให้ออกอาวุธได้แม่นยำกว่าเดิม
ผมมั่นใจว่ารูปเกมไฟต์นี้จะต้องสนุกกว่าครั้งก่อนแน่นอน เพราะผมตั้งใจปักหลักแลกชนเต็มที่ และหวังว่าจะปิดเกมได้ก่อนครบยก ที่สำคัญที่สุดคือ ผมอยากเอาชัยชนะไปฝากลูกสาว ‘น้องมะนาว’ ที่คอยส่งกำลังใจให้ตลอดครับ”