"ออง ลา" พร้อมโชว์สุดฝีมือในไฟต์อำลาสังเวียน

"THE BURMESE PYTHON" ออง ลา เอ็น ซาง จอมบู๊รุ่นใหญ่ วัย 40 ปี จากเมียนมา มุ่งสร้างผลงานให้เป็นที่จดจำในไฟต์สุดท้ายของอาชีพนักสู้ พร้อมปะทะ เซบาซเตียน คาเดสตัม อดีตแชมป์โลก ONE MMA รุ่นเวลเตอร์เวต (170-185 ป.) ภายใต้กติกา MMA รุ่นมิดเดิลเวต (185-205 ป.) ในศึก ONE Fight Night 36 ในวันเสาร์ที่ 4 ต.ค. 68
ตลอดเวลา 20 ปี บนสังเวียนนักสู้ ออง ลา สร้างตำนานของตัวเองได้อย่างยิ่งใหญ่ หากนับเฉพาะใน ONE เขาปราบคู่ต่อสู้คว้าชัย 14 จาก 19 ไฟต์ที่ลงแข่งขัน คว้าเข็มขัดแชมป์โลก MMA ได้ถึง 2 รุ่น เริ่มจากรุ่นมิดเดิลเวต ก่อนจะขยับไปซิวบัลลังก์รุ่นไลต์เฮฟวีเวต (205-225 ป.) และได้รับการจารึกชื่อในประวัติศาสตร์ว่าเป็นนักกีฬาชาวเมียนมาคนแรกที่ได้ครองแชมป์โลก ONE ถึง 2 รุ่น รวมทั้งยังการยกย่องให้เป็นฮีโรของชาติผู้สร้างแรงบันดาลใจให้พี่น้องชาวเมียนมาตั้งแต่นั้นมา
แม้ที่ผ่านมาเขาจะคว้าความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แต่การกรำศึกหนักตลอดสองทศวรรษทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าร่างกายที่เคยสามารถรับอาวุธหนักซ้ำ ๆ ได้นั้นเริ่มถดถอยและไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้เขาทำใจยอมรับว่าช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์บนเส้นทางนี้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว และวันสุดท้ายของการต่อสู้บนสังเวียนกำลังจะมาถึง
“คนเรามีขีดจำกัดว่ารับอาวุธหนัก ๆ เข้าที่ศีรษะได้มากแค่ไหน ซึ่งตอนสู้ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย แต่เวลาของผมมันกำลังจะมาถึงแล้ว และผมก็ยอมรับได้ ไม่มีใครสามารถเอาชนะกาลเวลาได้หรอกครับ”
ในไฟต์อำลาสังเวียนของ “ออง ลา” จะต้องเผชิญกับบททดสอบสุดท้ายจาก “เซบาซเตียน” นักสู้ชาวสวีเดน อดีตเจ้าบัลลังก์ รุ่นเวลเตอร์เวต เจ้าของสถิติชนะ 7 ไฟต์บนสังเวียน ONE และกำลังอยู่ในช่วงฟอร์มร้อนแรงคว้าชัยชนะรวดใน 3 ไฟต์หลัง ซึ่งเขาพร้อมจะขยับน้ำหนักขึ้นมาเปิดตัวในรุ่นมิดเดิลเวตเป็นครั้งแรก หวังสานต่อผลงานให้กลายเป็นชัยชนะ 4 ไฟต์ติดด้วยการสยบเจ้าตำนานของรุ่นนี้
ที่สำคัญ สำหรับ “ออง ลา” การได้อำลาสังเวียนที่สนามมวยเวทีลุมพินี (รามอินทรา) อันเป็นตำนานถือว่ามีความหมายต่อเขามาก ซึ่งเชื่อว่าจะมีพี่น้องชาวเมียนมาที่อาศัยในเมืองไทยมาให้กำลังใจในสนามอย่างคับคั่งเหมือนเมื่อครั้งที่เขามาแข่งขันที่นี่ครั้งล่าสุดในศึก ONE Fight Night 6 เมื่อปี 2566 และได้รับเสียงเชียร์กระหึ่มก้อง อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี
โดยครั้งนี้ “ออง ลา” ตั้งใจจะฝากผลงานสุดท้ายให้แฟนมวยทั่วโลกจดจำด้วยการโชว์ฟอร์มให้ดีที่สุดและปิดฉากอาชีพด้วยชัยชนะในวัย 40 ปี ให้สมกับที่การเป็นฮีโรของผู้คนนับล้านทั่วโลก
“ผมรู้สึกตื่นเต้นมากครับที่กำลังจะได้ลงแข่งขันเป็นครั้งสุดท้าย ไฟต์นี้มีความหมายกับผมอย่างมาก เพราะมันคือโอกาสที่จะได้ฝากผลงานสวย ๆ ทิ้งทวนไว้อย่างยิ่งใหญ่กลางเวทีลุมพินี”
แม้ชีวิตบนสังเวียนของ “ออง ลา” กำลังจะยุติลง แต่ชีวิตจริงของเขากำลังจะได้เริ่มต้นใหม่และถูกวางแผนไว้อย่างดี โดยเขายืนยันว่าจะสานต่อความรักในกีฬา MMA ต่อไป ในรูปแบบยิมฝึก MMA ที่เขาก่อตั้งขึ้นเองภายใต้ชื่อ “ไพธอน MMA (Python MMA)” ซึ่งมาจากฉายา “งูหลามพม่า” ของเขานั่นเอง
“ผมตั้งใจจะเปิดยิม MMA ที่มุ่งสร้างนักสู้รุ่นใหม่ เพราะผมเชื่อว่านี่คือสิ่งที่เหมาะสมกับผมที่สุด ทุกวันนี้ผมยังคงสอนลูกชาย หลานชาย และเพื่อน ๆ ของพวกเขาอยู่เสมอ และพวกเขาก็ทำได้ดีเกินกว่าที่ผมคาดหวังไว้”
“ลูก ๆ ของผมกำลังเติบโตขึ้นทุกวัน และผมอยากอยู่เคียงข้างพวกเขาให้มากขึ้น แม้วันที่ผมตัดสินใจแขวนนวมมาถึง แต่เส้นทางในกีฬานี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่ผมสามารถทำได้ เพราะในหัวใจของผม ยังคงรักการต่อสู้ไม่ต่างจากวันแรกที่เริ่มต้นเลยครับ”