"สานิตย์" หวังเช็คบิลไว "สิงห์โดมทอง"

ย้อนกลับไปในสมัยที่ “สานิตย์” ยังขึ้นชกในเวทีมวยไทย 5 ยก เขาต้องเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบากไม่ต่างจากนักมวยส่วนใหญ่ เพราะด้วยค่าตัวอันน้อยนิดและการได้ขึ้นชกเพียงไม่กี่ครั้งต่อปี ทำให้รายได้ไม่พอกับรายจ่ายจนนำมาซึ่งการเป็นหนี้ก้อนโต

อย่างไรก็ตาม “สานิตย์” ยังคงมีความฝันอันแรงกล้าที่มุ่งมั่นจะต้องเข้ามาชกใน ONE ซึ่งเป็นรายการที่เขาติดตามอยู่เป็นประจำ โดยมีสองนักชกซูเปอร์สตาร์ “ซุปเปอร์เล็ก ซุปเปอร์เล็กมวยไทย” และ “รถถัง จิตรเมืองนนท์” เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ผลักดันให้เข้ามาล่าฝันบนเวทีนี้เพื่อพลิกชีวิตให้ดีขึ้น

หลังจากทำได้เพียงเป็นแค่ผู้ชมนั่งดูรายการ ONE มานานหลายปี ในที่สุด “สานิตย์” ก็ได้รับโอกาสสำคัญให้เข้ามาพิสูจน์ฝีมือในศึก ONE ลุมพินี 119 เมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา และสามารถเปิดตัวได้อย่างน่าประทับใจด้วยการปรับสไตล์การชกมาเป็นมวยบู๊แหลกเดินลุยออกอาวุธไม่หยุดก่อนจะปิดเกมน็อก “เซน โลน ชอว์” จากเมียนมา ไปได้ในยก 2 ด้วยท่าคอมโบฮุกซ้ายตามด้วยก้านคอพร้อมคว้าโบนัส 350,000 บาทมาครองทันที

เดือนต่อมาในศึก ONE ลุมพินี 123 “สานิตย์” หวนกลับมาขึ้นชกไฟต์ที่ 2 และยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการถล่มศอกน็อก “เอซากุ โอกาซาวาระ” จากญี่ปุ่น ซึ่งเจ้าตัวได้กล่าวเปิดใจถึงเบื้องหลังผลงานสุดร้อนแรงใน 2 ไฟต์ที่ผ่านมา รวมถึงชีวิตที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือนับตั้งแต่ก้าวเข้ามาชกบนสังเวียนแห่งนี้

“ผมติดตามรายการ ONE มานานหลายปีแล้วครับ และมีความฝันอยากขึ้นชกในรายการนี้มาตลอด วันแรกที่รู้ว่าจะได้เข้ามาชกในรายการ ONE ลุมพินี ผมดีใจมาก จึงตั้งใจซ้อมให้หนักกว่าเดิมหลายเท่าจนมั่นใจว่าสามารถขึ้นไปชกได้ถึง 5 ยกแบบไม่หมดแรง รวมถึงยังปรับสไตล์จากมวยเข่าให้กลายเป็นมวยที่มีอาวุธหนักแรงทุกลูก ผลงาน 2 ไฟต์แรกจึงออกมาดีเกินคาด เพราะไม่ได้คิดว่าจะเปิดตัวได้สวยขนาดนี้ครับ”

“ตั้งแต่ได้ชกใน ONE ลุมพินี ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก ทุกวันนี้เวลาออกไปวิ่งก็มีคนเข้ามาทักและให้กำลังใจตลอด ด้านฐานะการเงินก็ดีขึ้น ทั้งจากค่าตัวและโบนัสที่สูงกว่าทุกรายการที่ผมเคยผ่านมา จนสามารถปลดหนี้รถได้หมด และยังมีเงินดูแลครอบครัวได้สบายขึ้น หากไฟต์นี้ได้โบนัสอีก ผมตั้งใจจะนำไปไถ่ที่ดินของครอบครัวที่อยู่ในธนาคารครับ”

นอกเหนือจากลีลาการบู๊โดนใจแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้แฟนมวยทั่วประเทศจดจำ “สานิตย์” ได้เป็นอย่างดีก็คือการกล่าววลีเด็ด “กระบี่ไม่หมูนะจ๊ะ” ในไฟต์เปิดตัวจนกลายเป็นกระแสไวรัลไปทั่วโลกออนไลน์ โดยเจ้าตัวได้เล่าถึงเบื้องหลังของวลีเด็ดประจำตัวนี้ว่า

“ผมยืนยันว่าไม่ได้เตรียมวลีนี้มาจากบ้าน ตอนอยู่บนเวทีตอนนั้น ผมแค่คิดว่าต้องพูดอะไรสักคำให้คนจดจำเราได้ แล้วอยู่ดี ๆ คำว่า ‘กระบี่ไม่หมูนะจ๊ะ’ ก็แวบขึ้นมาในหัว ผมเลยพูดออกไปโดยไม่คาดคิดว่าจะมีคนชอบมากขนาดนี้ และทำให้คนจำผมได้จริง ๆ

ส่วนไฟต์ที่ 2 ผมแอบเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้พูดบนเวที แต่ถ้าไฟต์นี้ผมได้โอกาสสัมภาษณ์บนเวทีอีก ผมจะพูดอีกเพราะตอนนี้มันถือเป็นจุดขายของผมไปแล้วครับ”

จากผลงานสุดฮอตใน 2 ไฟต์แรก ทำให้ “สานิตย์” ได้รับโอกาสให้กลับมาขึ้นชกต่อเนื่องเป็นไฟต์ที่ 3 ในรอบ 3 เดือนและยังพิเศษใส่ไข่ยิ่งกว่าเพราะจะต้องก้าวขึ้นสังเวียนในฐานะคู่รองของรายการเป็นครั้งแรก โดยจะพบกับ “สิงห์โดมทอง” ที่พร้อมทุ่มสุดตัวหวังดับฮอต “สานิตย์” เพื่อกู้คืนฟอร์มเก่งหลังจากสะดุดพ่ายมาในไฟต์ล่าสุด

แม้คู่ชกอย่าง “สิงห์โดมทอง” จะผ่านประสบการณ์เก็บชัยชนะบนเวทีแห่งนี้มาแล้ว 6 ครั้งจาก 8 ไฟต์ แต่ “สานิตย์” ที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นก็มั่นใจว่า อาวุธหนักทั้งวงในและวงนอกของเขาจะช่วยให้สามารถปิดเกมคู่ต่อสู้แบบไม่ครบยกได้เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกันเพื่อเดินหน้าพิสูจน์ตนเองและปูทางสู่อนาคตสดใสบนเวทีนี้

“สิงห์โดมทอง เป็นมวยครบเครื่องทั้งในเกมรุกและรับ โดยเฉพาะหมัดฮุกซ้ายที่อันตราย จุดอ่อนคือเกมวงในยังไม่แข็งเท่าไหร่ ส่วนผมพื้นฐานเป็นมวยเข่า ถ้าได้โอกาสเบียดเข้าไปเล่นวงใน รับรองว่าสนุกแน่ครับ แต่ถ้าต้องยืนแลกวงนอกก็ไม่กลัว เพราะผมเตรียมอาวุธหนักไว้เต็มที่ โดยเฉพาะก้านคอและเข่าลอยที่ใช้ได้ผลดีในสองไฟต์ก่อนหน้า ถ้ามีจังหวะจะได้เห็นอีกแน่นอนครับ”

“ไฟต์นี้ผมจะไม่รีบเปิดเกมแรงเหมือนที่ผ่านมา เพราะการเจอกับนักชกไทยด้วยกันต่างรู้ทางกันดี จะเข้าไปบวกสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ต้องดูเชิงกันก่อนว่าใครมาไม้ไหน แต่พอถึงยกสอง ผมมั่นใจว่าเกมจะเริ่มเดือดแน่ เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ทรงกันแล้ว และผมตั้งใจจะลุยปิดเกมให้ได้ภายในยกนี้ครับ”

“ไฟต์นี้สำคัญมากสำหรับผมเพราะเป็นการขึ้นชกรองคู่เอกครั้งแรก ผมอยากโชว์ผลงานให้ดีที่สุดต่อหน้าแฟน ๆ เพื่อยืดสถิติชนะน็อกรวดเป็นครั้งที่ 3 ถ้าทำได้อย่างที่ตั้งใจ เชื่อว่าผมจะได้ก้าวไปอีกไกลในรายการนี้แน่นอนครับ”