"แสตมป์" เล็งขนอาวุธหนักบุกถล่ม "คานะ"

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2568
11
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share

"แสตมป์ แฟร์เท็กซ์" สาวแกร่งใจเกินร้อยจากระยอง พร้อมคืนสังเวียนในรอบกว่า 2 ปี ด้วยการบุกไปจัดหนักเอาชนะ "คานะ โมริโมโตะ" นักชกซูเปอร์สตาร์สาวชาวญี่ปุ่น ในการสู้กันภายใต้กติกาคิกบ็อกซิ่ง รุ่นอะตอมเวต (105-115 ป.) ในศึกใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ ONE 173: ซุปเปอร์บอน vs มาซาอากิ ที่จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 16 พ.ย. 68 ณ สนามอาริอาเกะ อารีนา กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เริ่มคู่แรกเวลา 11.00 น.

“แสตมป์” ที่ช่วงชีวิตนักสู้กำลังทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด หลังสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักกีฬาการต่อสู้คนแรกและคนเดียวในโลกที่คว้าแชมป์โลกมาครองได้ถึง 3 กติกา (มวยไทย, คิกบ็อกซิ่ง และ MMA) จากการคว้าแชมป์โลก ONE MMA รุ่นอะตอมเวต มาครองเมื่อเดือน ก.ย. 66 ต้องเผชิญกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญหลังได้รับอาการบาดเจ็บหมอนรองกระดูกเข่าซ้ายฉีกระหว่างฝึกซ้อมจนต้องพักรักษาตัวนานถึง 2 ปี

หลังจากนั้น “แสตมป์” ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญที่ต้องทำให้ปวดใจ แต่เธอก็โชว์สปิริตสละเข็มขัด MMA เพื่อส่งต่อให้ “เดนิส แซมโบอันกา” เพื่อนรักชาวฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นแชมป์โลกเฉพาะกาลในขณะนั้น ขึ้นครองบัลลังก์แทน เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา

“แสตมป์” ได้ย้อนกลับไปเล่าถึงช่วงเวลาที่เธอต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากที่สุดในอาชีพ ซึ่งต้องใช้แรงใจอย่างมาก กว่าที่เธอจะสามารถเอาชนะอาการบาดเจ็บกลับมาขึ้นชกได้อีกครั้ง

“ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากไม่น้อย เพราะจากที่เคยซ้อมมวยทุกวัน กลับต้องหันมาทำกายภาพบำบัดแทน พอคิดว่าร่างกายเริ่มดีขึ้นและกลับมาซ้อมได้ ก็ต้องหยุดอีกครั้งเมื่อพบว่ายังไม่พร้อม ต้องวนกลับไปเริ่มกระบวนการรักษาใหม่ทั้งหมด”

“แต่ละวันต้องใช้กำลังใจอย่างมาก เพราะการบาดเจ็บถึงขั้นต้องผ่าหัวเข่าไม่ใช่เรื่องง่าย หลายคนแนะนำให้หนูเลิกมวย เพราะไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว แต่ในใจหนูรู้ดีว่ายังมีเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตัวเองรออยู่ รู้สึกว่ายังไปได้ไกลกว่านี้ และอยากทำให้เต็มที่ในเส้นทางของนักสู้”

“การตัดสินใจสละเข็มขัดแชมป์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะหนูทำงานหนักมากกว่าจะได้มาครอง แต่ก็เข้าใจดีว่าตลอดช่วงเกือบ 2 ปีที่ไม่ได้ขึ้นชก ยังมีนักสู้อีกหลายคนที่อยากก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์บ้าง”

“หนูจึงตัดสินใจสละตำแหน่ง เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่อยู่ข้างหลังได้ขึ้นมาครองเข็มขัดแทน และสุดท้าย เดนิส ซึ่งเป็นเพื่อนของหนูก็ได้ก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์ไปครอง ส่วนหนูเอง เมื่อถึงเวลาที่พร้อม ก็จะกลับไปทวงเข็มขัดคืนอีกครั้งแน่นอน”

หลังฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บกลับมาฟิตเต็มร้อย “แสตมป์” พร้อมคืนสู่สังเวียนอีกครั้งในรอบกว่า 2 ปี โดยเตรียมข้ามน้ำข้ามทะเลไปโชว์ฝีมือคิกบ็อกซิ่งถึงประเทศญี่ปุ่น พบกับตัวแม่ของกติกานี้อย่าง “คานะ” ในวันอาทิตย์ที่ 16 พ.ย. นี้ ซึ่งตรงกับวันเกิดครบรอบ 28 ปี ของเธอพอดี ซึ่ง “แสตมป์” ได้เผยถึงสาเหตุที่เลือกชกในกติกาคิกบ็อกซิ่ง แทนที่จะเป็นกติกา MMA

“ไฟต์นี้หนูเลือกชกในกติกาคิกบ็อกซิ่งเพื่อเป็นการทดสอบตัวเอง หลังไม่ได้ขึ้นชกมาเกือบ 2 ปี

อยากเช็กทั้งสภาพร่างกาย สภาพจิตใจ และความอดทนว่าเหลืออยู่แค่ไหน คิกบ็อกซิ่งจึงเป็นทางที่เหมาะสำหรับการวอร์มเพราะไม่ต้องรับศอกหรือเทกดาวน์เหมือน MMA แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีอันตราย เพราะ คานะ เป็นอดีตแชมป์ K‑1 ที่มีประสบการณ์มากค่ะ”

สำหรับ “คานะ” สุดยอดนักสู้ชาวญี่ปุ่นดีกรีอดีตแชมป์ K-1 เซ็นสัญญาเข้ามาไล่ล่าความสำเร็จใน ONE เมื่อเดือน ก.ย.67 และได้รับโอกาสขึ้นชิงเข็มขัดแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นอะตอมเวต จาก “เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม” ในไฟต์ล่าสุดในศึก ONE 172 ที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา แต่ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน เมื่อต้องพ่ายคะแนนเอกฉันท์ไปอย่างน่าเสียดาย และไฟต์นี้เธอหวังแก้ตัวเปิดบ้านจัดหนัก “แสตมป์” ให้ได้เพื่อทำฟอร์มกลับขึ้นไปชิงบัลลังก์อีกครั้ง

แม้จะเสียเปรียบทั้งด้านประสบการณ์และการร้างสังเวียนไปนานกว่า 2 ปี แต่ “แสตมป์” ที่ในอดีตเคยเป็นเจ้าของแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นอะตอมเวต ก็ให้คำมั่นสัญญาต่อแฟน ๆ ว่าไฟต์นี้เธอจะบุกไปสู้อย่างสุดความสามารถเพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเธอยังมีศักยภาพมากพอที่จะประสบความสำเร็จได้อีกมากในอนาคต

“คานะ เป็นนักคิกบ็อกซิ่งที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของญี่ปุ่น จุดเด่นคือความเร็วทั้งการเคลื่อนที่เข้า-ออก แต่นั่นก็เป็นการเปิดช่องโหว่ในการป้องกันตัว ซึ่งหนูมองว่าเป็นจุดอ่อนของเขา และหนูอาจใช้แข้งสกัดเพื่อหาจังหวะขัดเกมค่ะ”

“อาวุธอันตรายที่สุดของคานะคือหมัด และ Calf Kick (คาล์ฟคิก หมายถึงการเตะเจาะยางบริเวณน่อง) ซึ่งนักชกญี่ปุ่นมักใช้เป็นจุดแข็ง และยังมีประสบการณ์คิกบ็อกซิ่งมากกว่าหนู ดังนั้นต้องระมัดระวังทุกจังหวะเลยค่ะ”

“กุญแจสำคัญที่จะทำให้หนูได้รับชัยชนะครั้งนี้คือความรุนแรงของอาวุธ หนูตั้งใจจะเตะเขาให้หนัก ๆ เอาให้ถึงขั้นแขนห้อยและต้องหยุดชะงักไปเลย และนอกจาก Calf Kick ที่หนูซ้อมมาอย่างหนักแล้ว หนูยังเตรียมลูกฮุกขวาและอัปเปอร์คัตมาด้วยค่ะ”

“หนูมั่นใจในตัวเองเสมอ แต่สิ่งเดียวที่ต้องการคือขอแค่ชนะก็พอ หนูอยากแสดงให้เขารู้ว่า หนูไม่ได้มาเป็นขั้นบันไดให้ใครปีน ถ้าคิดจะผ่านหนูก็ต้องเหนื่อยหน่อย หนูจะทำให้เต็มที่เพื่อโชว์ศักยภาพและพิสูจน์ว่า แสตมป์ ยังไปได้ไกลกว่านี้”


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด