ในบรรดา 5 ลีกใหญ่ยุโรป นาทีนี้เหลือแค่ บาเยิร์น มิวนิค ทีมเดียวที่ยังไม่รู้จักความพ่ายแพ้ในช่วงต้นซีซั่น 2025-26 นับผลการแข่งขันรวมทุกรายการ
ฤดูกาลใหม่ผ่านไปแล้วสองเดือนเศษๆ เราได้เห็นสโมสรใหญ่ๆ เรอัล มาดริด แพ้แล้ว, บาร์เซโลน่า แพ้แล้ว, ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง แพ้แล้ว, ยูเวนตุส แพ้แล้ว แม้ อตาลันต้า ยังไม่แพ้ในลีก แต่ก็แพ้ในเกมยุโรปแล้ว
มีแค่ บาเยิร์น มิวนิค ทีมเดียวที่ยังไม่แพ้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังชนะรวดทั้ง 12 เกมด้วย เป็น 7 เกมในบุนเดสลีกา (ก่อนเกมเยือน โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม), 3 เกมในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, 1 เกมในเดเอฟเบ โพคาล และ 1 เกมในฟร้านซ์ เบ๊คเคนเบาเออร์ ซูเปอร์คัพ
ทีมของ แว็งซ็องต์ ก็องปานี ซัลโวแหลก 27 ประตูจาก 7 เกมในบุนเดสลีกา ค่าเฉลี่ยสูงถึง 3.8 ประตูต่อ 1 เกม และยิงไปอีก 12 ประตูจาก 3 เกมในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตกเกมละ 4 ประตู
นี่คือผลงานสุดโหดในช่วงต้นฤดูกาล 2025-26 ที่ทำให้ บาเยิร์น มิวนิค ตัดสินใจต่อสัญญาฉบับใหม่กับ ก็องปานี ไปเรียบร้อย ขยายระยะเวลาการคุมทีมในถิ่นอัลลิอันซ์ อารีน่า จากเดิมถึงปี 2027 กลายเป็นปี 2029
อะไรที่ทำให้ บาเยิร์น มิวนิค มีเกมรุกที่เกรี้ยวกราดขนาดนี้ ทั้งที่ก่อนเริ่มซีซั่นนี้ต้องเจอข่าวร้ายครั้งใหญ่ จามาล มูเซียล่า บาดเจ็บหนัก ทั้งกระดูกน่องแตก กระดูกเท้าแตก และข้อเท้าเคลื่อน ตั้งแต่ทัวร์นาเมนต์ฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ
มูเซียล่า ต้องพักยาวหลายเดือน และยังไม่มีกำหนดคืนสนามที่แน่ชัด
นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ บาเยิร์น มิวนิค ยอมจ่ายเงินมหาศาล 70 ล้านยูโรซื้อ ลุยส์ ดีอาซ มาจาก ลิเวอร์พูล
ดีอาซ เข้ามาประสานแนวรุกกับ แฮร์รี่ เคน และ ไมเคิ่ล โอลีเซ่ ได้อย่างลงตัว และแทบจะหาที่ติไม่เจอ
ฤดูกาลที่แล้ว เคน ทำไป 41 ประตู กับ 12 แอสซิสต์ และ โอลีเซ่ ทำไป 20 ประตู กับ 20 แอสซิสต์ รวมทุกรายการ เป็นตัวหลักที่โหดมากๆ และเป็นสองตัวแปรสำคัญที่ ก็องปานี จะขาดไม่ได้อีกแล้ว หลังจากเสีย มูเซียล่า
และช่วงต้นซีซั่นนี้ เคน รีบร้อนยิงประตูแบบไม่รอใคร ตะบันไปแล้ว 20 ประตูในทุกรายการ ขณะที่ ดีอาซ ทำไปแล้ว 7 ประตู และ โอลีเซ่ 6 ประตู
อีกหนึ่งตำแหน่งในแนวรุก แซร์ช นาบรี กลับมามีบทบาทมากขึ้น ทำไปแล้ว 3 ประตู จาก 10 เกมที่ลงเล่น ในจำนวนนั้นเป็นการลงตัวจริง 5 เกมในบุนเดสลีกา
และตัวใหม่ นิโกล่าส์ แจ็คสัน ก็ทำไปแล้ว 2 ประตูจาก 8 เกม ที่เป็นการลงตัวจริง 2 เกมในบุนเดสลีกา แม้ยังไม่มีบทบาทในแนวรุกมากนัก แต่ก็ถือเป็นส่วนผสมที่ลงตัว
หลังจากนี้จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญของ บาเยิร์น มิวนิค หากไม่สะดุดในเกมที่ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค
บาเยิร์น มิวนิค จะเล่นเกมเดเอฟเบ โพคาล รอบสอง เยือน โคโลญจน์ วันที่ 29 ตุลาคม ต่อด้วยเกมบุนเดสลีกาในบ้านพบกับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น วันที่ 1 พฤศจิกายน และเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เยือน ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง ในอีกสามวันต่อมา