เมื่อ 'อีโก้' สูงกว่าฝีเท้า

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2567 คอลัมน์ ผีตัวที่ 13 โดย โกสุ่ย
617
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ณ ช่วงเวลาที่สื่อรายงานว่า รูเบน อาโมริม พร้อมทำงานร่วมกับ มาร์คัส แรชฟอร์ด และปรารถนาเรียกฟอร์มเก่งของหัวหอกชาวอังกฤษให้กลับมาเปรี้ยงปร้างอีกครั้ง บรรดาแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างตั้งความหวังไว้สูงลิบ

มันควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะ 'แรชชี่' คือนักเตะที่ทำประตูแรกในยุคอาโมริม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต่างจากดอกไม้ไฟที่สว่างวาบเพียงชั่วครู่และดับหายเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน

แถมตอนนี้ทุกอย่างดูเลวร้ายกว่าเดิมหลังจากเหตุการณ์ถูกตัดชื่อในเกมปะทะ แมนฯ ซิตี้

ในฐานะ 'คู่จิ้น' ตั้งแต่สัปดาห์แรก ทว่าสถานะล่าสุดกลับกลายเป็นคนที่ห่างเหินและมีแนวโน้มแย่ไปกว่านั้นเพราะต่างฝ่ายต่างยึดมั่นในแนวทางของตนเอง

อาโมริม เชื่อว่านักเตะทุกคนต้อง 'เคารพ' แนวทางของตนของ และต้อง 'ทำงาน' เพื่อพิสูจนคุณค่าของตัวเองเพื่อก้าวมาเป็น 11 คนแรกในแต่ละนัด ทุกคนสามารถหลุดออกจากทีมหากถูกประเมินว่าทัศนคติหรือผลงานไม่เป็นตามที่วางไว้ แต่คนเหล่านั้นสามารถกลับมาสู่ทีมได้ตลอดหากยอมรับและแก้ไขความผิดพลาดให้ดีขึ้น

สำหรับ อาโมริม 'ผลลัพธ์' ที่เขาต้องการคือความมุ่งมั่น ทุ่มเท ตั้งใจ และความกระหายที่นักเตะต้องการพิสูจน์ว่าดีพอในการลงเล่นให้ทีมของเขา

นั่นจึงเป็นสาเหตุในการตัดชื่อ แรชฟอร์ด ออกจากเกม แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ เช่นเดียวกับ อเลฮานโดร การ์นาโช่

จากการตีความผ่านปากคำของกุนซือใหญ่ชาวโปรตุเกสพิสูจน์ให้เห็นถึงแนวทางอันชัดเจน 'คนที่ทำงานหนักจะได้รับผลตอบแทน' หรือเป็นการบอกแบบอ้อม ๆ ว่า 'พร้อมเปิดโอกาสให้คนที่ตั้งใจพิสูจน์คุณค่า แต่หากใครไม่พอใจแนวทางก็เชิญตามสบาย'

จะว่าแรงก็แรง จะว่าแข็งเกินไปก็ใช่ แต่มันคือแนวทางของ อาโมริม ที่มองว่าจะเป็นวิธีทำให้ 'สโมสร' เดินหน้าไปสู่เส้นทางที่ควรเป็น เปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินงานจากที่เคยทำ เปลี่ยนรูปแบบและขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อยู่ที่นักเตะด้วยว่าจะพร้อมปรับตัวและรับสิ่งใหม่ ๆ หรือไม่

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ แรชฟอร์ด จึงเป็นทั้งการส่งสัญญาณไปยังกองหน้าวัย 27 ปี รวมถึงผู้เล่นคนอื่น ๆ ว่าต้องพร้อมปรับตัวอยู่เสมอ และอย่าทำตัวเหมือน 'Deadwood' ที่ไม่มีความกระตือรือร้น หรือแรงจูงใจในการพัฒนาตนเอง

ในยุคที่ฟุตบอลเน้นระบบการเล่นมากกว่าความสามารถของผู้เล่นคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ ทำให้ผู้เล่นทุกคนแทบจะมีโอกาสลงสนามเท่า ซึ่งปัจจัยอยู่ที่ว่าคนคนนั้นจะสามารถตอบสนองคำสั่งหรือเล่นตามแท็กติกตามที่กุนซือต้องการได้มากน้อยเพียงใด

กระนั้นกรณีของ แรชฟอร์ด ที่ อาโมริม พร้อมเปิดโอกาสคืนทีมอีกครั้ง กลับกลายเป็นว่ามีแต่จะแย่ลงหลังจากนักเตะดันปากไวให้สัมภาษณ์ทิ้งระเบิด

สิ่งนี้แสดงถึงวุฒิภาวะที่ติดลบ เพราะแทนที่จะเดินเข้าไปคุยกับ อาโมริม โดยตรง ดันหันไปพึ่งสื่อ (ซึ่งพร้อมจะนำมาขยายความให้แย่ลง) แถมกระแสในโซเชียล มีเดีย ดันดีกลับ หันไปโจมตี แรชฟอร์ด มากกว่าจะออกมาสนับสนุน

ทำให้สถานการณ์เลวร้ายหนักกว่าเดิม ซึ่งเรื่องราวนี้ดูเหมือนจะพุ่งตรงไปสู่เส้นทางที่ต้องแยทางกหาก แรชฟอร์ด ยังคงติดงอนไม่ยอมคุยและปรับความเข้าใจกับโค้ชโดยตรง หรือยอมรับว่าตนเองยังมีเรื่องให้พัฒนาและต้องปรับปรุงการเล่นอีกมากมาย

หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป แรชฟอร์ด ก็คงกลายเป็นนักเตะอีกรายที่โดน 'อีโก้' กลืนกิน โดน 'อีโก้' บดบังสายตาจนมองไม่เห็นความเป็นจริง มองเห็นแค่ภาพของตนเองสะท้อนออกมา และหมดอนาคตในรั้ว โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในที่สุด

หลังจากนี้จึงเป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของ แรชฟอร์ด ว่าจะยอปรับตัวและแก้ไขแนวทางการทำงานให้ดีขึ้น หรือจะปักหลักยืนตระหง่านบนหอคอยที่ชื่อว่า 'อีโก้' ของตนเองต่อไป

รีบแก้ไขปรับปรุงตัวในตอนที่ยังมีเวลา หรือยังคงยึดมั่นว่า 'ข้านี่แหละคือศูนย์กลางของจักรวาล' ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ แรชฟอร์ด จะเลือกเส้นทางใดให้ตนเอง




ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด