เจ็บคนเดียวเสียวทั่วยุโรป

บาเยิร์น มิวนิค ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์ดังกล่าว เมื่อ เชลซี เกิดชักปลั๊กขณะที่ นิโกลัส แจ็คสัน เดินทางไปตรวจร่างกาย ในวันเสาร์ โดยที่ สิงห์บลูส์ ก็มีการติดต่อไปยัง สปอร์ติ้ง ลิสบอน และผู้ติดตามของ คอนราด ฮาร์เดอร์ กองหน้าเดนมาร์ก หลังเกมชนะ ฟูแล่ม 2-0
ในจุดนั้น เกมระหว่างทั้งสองทีมจึงเริ่มต้นขึ้น เมื่อ เชลซี ขอให้ บาเยิร์น จ่ายเงินซื้อขาด แจ็คสัน เพื่อที่พวกเขาจะนำเงินไปทุ่มซื้อ ฮาร์เดอร์ ในส่วนของ บาเยิร์น เองก็ถูก อตาลันต้า บอกปัดข้อเสนอซื้อตัว อเดโมล่า ลุคแมน ซึ่งเป็นอีกทางเลือกด้วย
สุดท้าย ฮาร์เดอร์ ก็ปฏิเสธ เชลซี แล้วย้ายไป แอร์เบ ไลป์ซิก ซึ่งเขาได้รับข้อเสนอที่ใหญ่กว่า
ขณะเดียวกัน เชลซี ก็เปลี่ยนไปใช้แผน บี โดย แจ็คสัน ยังพักค้างคืนที่โรงแรมในมิวนิค พวกเขาจึงเริ่มหาข้อตกลงในการเรียกตัว มาร์ก กีว กลับมาจากการยืมตัวกับ ซันเดอร์แลนด์
ซันเดอร์แลนด์ ต้องจำยอมอย่างไม่เต็มใจสำหรับการส่งกองหน้าวัย 19 ปี กลับคืนสู่ต้นสังกัดแม่ และถูกบังคับให้ต้องเข้าสู่ตลาดเพื่อที่จะคว้าตัว ไบรอัน บร็อบบี้ ของ อาแจ็กซ์
นั่นหมายความว่า อาแจ็กซ์ ก็ต้องไปหาตัวแทน และตัดสินใจเซ็นสัญญากับ แคสเปอร์ ดอลเบิร์ก ซึ่งเป็นเป้าที่จับตามองของ เซลติก มาจาก อันเดอร์เลชท์
เซลติก พลาดการคว้าตัว ดอลเบิร์ก จึงพยายามหากองหน้าหลายคนในวันเส้นตาย และเกือบจะที่จะได้ ดาวิด ดาโตร โฟฟาน่า ของ เชลซี ในช่วงท้ายตลาด
โฟฟาน่า เลือกที่จะย้ายไป ชาร์ลตัน แต่สุดท้ายดีลก็ล่มอีก มันทำให้ เซลติก มีข่าวเชื่อมโยงกับ เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ ที่ไร้สังกัด หลังตกลงยกเลิกสัญญากับ เซบีย่า
ตลาดวายของ เชลซี กลายเป็นเรื่องตื่นตระหนก
อันที่จริงตลาดของ เชลซี ควรจะปิดฉากแบบสงบนิ่งในแง่ของการซื้อ โดยแผนของพวกเขาคือ ขาย, ขาย และก็ขาย
แต่เมื่อ ดีแล็ป บาดเจ็บขึ้นมา เชลซี กลับอยู่ในภาวะตื่นตระหนก เพราะก่อนเกม เอซี มิลาน ได้เซ็นสัญญาคว้าตัว คริสโตเฟอร์ เอ็นกุนกู ไปแล้ว และ สิงห์บลูส์ ก็อนุญาตให้ แจ็คสัน เดินทางไปตรวจร่างกายที่ บาเยิร์น มิวนิค
เมื่อทราบถึงความรุนแรงอาการบาดเจ็บของ ดีแล็ป เชลซี จึงตัดสินใจไม่ทำข้อตกลงกับ บาเยิร์น ในตอนนั้น และทำให้เกิดปฏิกิริยาไม่พอใจจาก แจ็คสัน และเอเยนต์ของเขา
เชลซี พิจารณาทางเลือกต่างๆ ด้วยความสนใจ ฮาร์เดอร์ เป็นแผน เอ จากนั้นแผน บี คือการเรียก กีว กลับมา และทางเลือกสุดท้ายคือรั้ง แจ็คสัน เอาไว้
ท้ายที่สุด การกลับมาของ กีว ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเกิดขึ้นได้ และหลีกเลี่ยงการใช้ทางเลือกสุดท้ายที่ยากที่สุดซึ่งก็คือการบังคับให้ แจ็คสัน อยู่กับทีมต่อไปแบบไม่เต็มใจ
แหล่งข่าวใกล้ชิดกับข้อตกลงอธิบายว่าสุดท้ายแล้ว เชลซี ก็ได้เงื่อนไขที่ดีขึ้นสำหรับการขาย แจ็คสัน โดย บาเยิร์น จ่ายค่ายืมตัว 14.3 ล้านปอนด์ พร้อมเงื่อนไขบังคับซื้อตามจำนวนนัดที่ลงเล่นอีก 56 ล้านปอนด์
แพ็คเกจรวมราว 70 ล้านปอนด์ ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีสำหรับกองหน้าที่ซื้อมาจาก บียาร์เรอัล ในปี 2023 แค่ 32 ล้านปอนด์เท่านั้น
ที่น่าสังเกตุคือ ก่อนที่เรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น เชลซี ล้มเหลวในการยื่นข้อเสนอ 34.7 ล้านปอนด์เพื่อเซ็นสัญญากับ เฟร์มิน โลเปซ ตัวรุก บาร์เซโลน่า แต่การเจรจากลับมาเปิดกว้าง
มันทำให้ เชลซี ต้องยุ่งมากในวันเส้นตาย เนื่องจากต้องพยายามปิดดีลประมาณ 10 ดีลให้สำเร็จภายในระยะเวลาอันสั้น
กองกลางตัวรุกอย่าง ฟากุนโด้ บัวนาน็อตเต้ ย้ายมาจาก ไบรท์ตัน แบบยืมตัวราคา 2 ล้านปอนด์, แบ็กซ้ายอย่าง เบน ชิลเวลล์ ย้ายไป สตราส์บูร์ก ทีมในเครือเจ้าของเดียวกัน, อเล็กซ์ มาตอส กองกลางย้ายไป เชฟฯ ยูไนเต็ด 2 ล้านปอนด์ และกองหน้าอย่าง โดเนลล์ แม็คนีลลี่ ก็ย้ายไป น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์
นอกจากนี้ยังมีการปล่อยยืมผู้เล่นจากอะคาเดมี่อย่าง โอมารี่ เคลลี่แมน, จิมมี่-เจย์ มอร์แกน และ รอนนี่ สตัตเตอร์ สำหรับ อิชี่ ซามูเอลส์-สมิธ ก็ถูกขายไป สตราส์บูร์ก และก็ถูกปล่อยยืมไป สวอนซี อีกทอด
เชลซี สร้างสถิติพรีเมียร์ลีกในการขายนักเตะมากกว่า 288 ล้านปอนด์ แต่หากการย้ายทีมของ ไทริค จอร์จ ปีกดาวรุ่งไปยัง ฟูแล่ม ด้วยค่าตัว 22 ล้านปอนด์ ไม่ล่มลงไปก็น่าจะทำให้ตัวเลขพุ่งไปสูงถึง 300 ล้านปอนด์
ของเน่า
ราฮีม สเตอร์ลิง, อักเซล ดิซาซี่ และ โฟฟาน่า ถูกเรียกว่า 'ส่วนเกิน' พวกเขาถูกปล่อยทิ้งร้างและไม่ได้ย้ายทีม แม้ว่ารายหลังจะอุตส่าห์ตกลงสัญญายืมตัวกับ ชาร์ลตัน ตลอดทั้งฤดูกาลได้แล้ว ก่อนที่ข้อตกลงจะล่มลงไป
ดูเหมือนว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ผู้เล่นเหล่านั้นจะมีบทบาทสำคัญในทีมของ เอ็นโซ่ มาเรสก้า และยังคงมีคำถามว่าพวกเขาจะได้กลับมาเล่นอีกครั้งหรือไม่ หรือจะยังคงใช้ชีวิตอยู่แบบไร้ทิศทาง ต้องใช้ห้องแต่งตัวแยกต่างหาก ต้องแยกซ้อมในสนามอื่น หรือแม้แต่ใช้ยิมที่แตกต่างจากทีมชุดใหญ่
อย่างไรก็ตาม เชลซี พอใจกับทีมที่พวกเขาสร้างขึ้นด้ดวยผู้เล่นใหม่ 9 คน รวมถึงตัวรุกใหม่ 6 คนสำหรับ มาเรสก้า และการปรับแต่งทีมให้ตรงกับความต้องการของเขามากขึ้นหลังจากตลาดซัมเมอร์ที่สอง
อย่างไรก็ตาม ทีมแชมป์คอนเฟอเรนซ์ ลีก และสโมสรโลกกลับต้องมาเจอกับความวุ่นวายในวันเส้นตายแบบที่พวกเขาไม่คาดคิด
ผลกระทบจากข้อจำกัดของยูฟ่า
สิงห์บลูส์ ยังคงถูกกดดันจาก ยูฟ่า สำหรับการไม่ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมทางการเงินในฤดูกาลที่ผ่านมาและในเดือนกรกฎาคม และถูกสั่งให้จ่ายค่าปรับจำนวนมากถึง 26.7 ล้านปอนด์
อย่างไรก็ตาม บทลงโทษทางกีฬาเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่า และนักเตะใหม่จะไม่ได้รับอนุญาตให้ลงทะเบียนสำหรับแชมเปี้ยนส์ลีก หากพวกเขาไม่รักษา "สมดุลการซื้อขายให้เป็นบวก" ในตลาดนักเตะรอบนี้
จากข้อมูลของ ฟุตบอล ทรานเฟอร์ส เชลซี ใช้เงินสุทธิ 1.5 ล้านปอนด์ โดย 285 ล้านปอนด์ถูกใช้ไปกับนักเตะอย่าง ดีแล็ป, ชูเอา เปโดร, เจมี่ กิทเทนส์ และ อเลฮานโดร การ์นาโช่ แต่ก็ถูกชดเชยด้วยยอดขายถึง 283.5 ล้านปอนด์ ซึ่งรวมถึง โนนี่ มาดูเอเก้ (52 ล้านปอนด์), ชูเอา เฟลิกซ์ (43.7 ล้านปอนด์) และ เอ็นกุนกู (36 ล้านปอนด์) โดยโบนัสเพิ่มเติมอาจจะทำให้ เชลซี มียอดคงเหลือที่เป็นบวก
เชลซี ยินดีที่นักเตะส่วนใหญ่ที่ถูกปล่อยยืมตัวไปเล่นที่อื่นในฤดูกาลที่แล้วแต่กลับไม่เป็นที่ต้องการของทีมเหล่านั้น อาทิ เฟลิกซ์, เรนาโต้ เวก้า และ อาร์มันโด้ โบรย่า ที่ตอนนี้ถูกขายขาดไปหมดแล้ว
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่า เชลซี ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้อยู่ในกฎ และด้วยการควบคุมการเงินที่กินระยะเวลา 3 ปี พวกเขาจึงสามารถสร้างสมดุลระหว่างการใช้จ่ายที่พุ่งสูงในช่วงสองฤดูกาลที่ผ่านมาภายใต้การเป็นเจ้าของของ ท็อดด์ โบห์ลี่ และเคลียร์เลค แคปปิตอล กับการขายครั้งใหญ่
พวกเขาขายนักเตะมูลค่ากว่า 750 ล้านปอนด์ เพื่อชดเชยกับเงินกว่า 1.6 พันล้านปอนด์ที่ใช้ไปกับการซื้อในช่วง 3 ปีดังกล่าว