ธุรกิจบนคราบเลือด: "โจชัว vs เจค พอล"
กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนในแวดวงกีฬาระดับโลก เมื่อการโคจรมาพบกันระหว่าง แอนโธนี่ โจชัว ยอดนักชกชาวอังกฤษดีกรีเหรียญทองโอลิมปิกและอดีตแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวต กับ เจค พอล ยูทูบเบอร์ชื่อดังที่ผันตัวมาเป็นนักมวย จบลงด้วยชัยชนะน็อกของโจชัวในยกที่ 6 ท่ามกลางภาพความบอบช้ำของฝ่ายหลังที่กรามร้าวถึง 2 แห่ง และต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที
ความไม่เหมาะสมที่เกิดขึ้นในไฟต์นี้ สามารถวิเคราะห์เจาะลึกได้ในหลายมิติ ดังนี้:
1. ความแตกต่างด้านมาตรฐานและทักษะ (Skill Gap)
แอนโธนี่ โจชัว คือนักมวยที่ผ่านการฝึกฝนในระดับ "อีลิท" ตั้งแต่รุ่นสมัครเล่นจนถึงแชมป์โลกอาชีพ เขามีทักษะการชก น้ำหนักหมัด และการอ่านเกมที่สั่งสมมานับสิบปี ในขณะที่เจค พอล แม้จะมีความมุ่งมั่นและเข้าแคมป์ฝึกซ้อมอย่างหนัก แต่เขายังถือว่าเป็นเพียง "นักมวยพื้นฐาน" ที่เพิ่งเริ่มเรียนรู้วิถีอาชีพ การนำคนที่มีทักษะระดับสูงสุดมาชกกับคนที่เพิ่งหัดชกไม่กี่ปี คือการหยิบยื่นความอันตรายที่ควบคุมไม่ได้ให้กับนักกีฬา
2. อันตรายจากสรีระและแรงปะทะในรุ่นยักษ์
ในรุ่นเฮฟวี่เวต หมัดทุกลูกมีอานุภาพทำลายล้างสูงมาก โจชัว มีโครงสร้างร่างกายที่เป็นนักกีฬามืออาชีพโดยธรรมชาติ (Natural Heavyweight) โดย โจชัว มีน้ำหนักตัวก่อนชกถึง 243.4 ปอนด์ (110.4 กก.) ขณะที่ เจค พอล ชั่งได้ 216.6 ปอนด์ (98.2 กก.) ต่างกันถึง 26.8 ปอนด์ (หรือประมาณ 12.2 กิโลกรัม) การที่คณะกรรมาธิการการกีฬาของไมอามีอนุญาตให้มีการชกครั้งนี้เกิดขึ้น สะท้อนถึงความหละหลวมในการประเมินความปลอดภัย เพราะผลกระทบต่อสมองและกระดูกใบหน้าในนักมวยที่ไม่ได้รับการฝึกฝนการป้องกันตัวในระดับสูงนั้นรุนแรงกว่าปกติหลายเท่า ดังที่เห็นจากอาการ "กรามร้าว 2 แห่ง" ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อร่างกาย เจค พอล ไปตลอดชีวิต
3. เมื่อธุรกิจอยู่เหนือความปลอดภัย (Sport vs Entertainment)
มีรายงานว่ามูลค่ารวมของไฟต์นี้สูงถึง 184 ล้านดอลลาร์ โดยแบ่งเค้กกันคนละครึ่ง ทำให้ทั้งคู่รับทรัพย์ไปเน้นๆ คนละประมาณ 92 ล้านดอลลาร์ (บางแหล่งข่าวระบุว่า เจค พอล อ้างว่าตัวเลขสูงถึง 267 ล้านดอลลาร์ แต่ยังไม่มีการยืนยันเป็นทางการ) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในค่าตัวที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์มวยโลก
การชกไฟต์นี้ถูกตั้งคำถามอย่างหนักว่า "นี่คือกีฬาหรือการแสดง?" การมุ่งเน้นสร้างยอดวิว (Views) และรายได้มหาศาลจากค่าตัวและระบบ Pay-Per-View ทำให้ฝ่ายจัดงานมองข้ามจริยธรรมทางการกีฬา การอนุญาตให้ "มืออาชีพของจริง" มาไล่ต้อน "คอนเทนต์ครีเอเตอร์" บนเวทีเดียวกันเพียงเพื่อตัวเลขทางเศรษฐกิจ คือการทำลายคุณค่าและเกียรติยศของกีฬามวยสากลอย่างร้ายแรง
4. บทเรียนของคณะกรรมาธิการการกีฬา
การที่หน่วยงานผู้กำกับดูแลในไมอามีปล่อยให้ไฟต์นี้เกิดขึ้นภายใต้กฎกติกามวยอาชีพปกติ ถือเป็นความล้มเหลวในการปกป้องนักกีฬา เกจิมวยทั่วโลกมองว่าควรมีการตั้งเกณฑ์การจับคู่ชก (Matchmaking) ที่เข้มงวดกว่านี้ เพื่อไม่ให้ความสูญเสียถึงชีวิตเกิดขึ้นเพียงเพื่อความบันเทิงชั่วครั้งชั่วคราว
บทสรุป: แม้ เจค พอล จะได้รับเงินมหาศาล และโจชัวจะกำชัยชนะตามคาด แต่สิ่งที่เสียไปคือความเชื่อมั่นในมาตรฐานความปลอดภัยของวงการมวยโลก การชกครั้งนี้ได้กลายเป็น "บทเรียนราคาแพง" ที่บอกให้รู้ว่า วิทยาศาสตร์การกีฬาและเม็ดเงิน ไม่สามารถทดแทนประสบการณ์และทักษะที่ต่างกันสุดขั้วได้ โดยเฉพาะในกีฬาที่มีความเป็นตายเท่ากันอย่างมวยสากลอาชีพ

