นอร์เวย์ ครั้งนี้ต้องมาแล้ว

ฟุตบอลโลก 1998 หรือที่หลายคนจดจำในชื่่อ "ฟร้องซ์ 98" คือครั้งล่าสุดที่ นอร์เวย์ ปรากฏตัวในรอบสุดท้าย
ในครั้งนั้น นอร์เวย์ เอาชนะ "แชมป์เก่า" บราซิล ได้ด้วยในรอบแบ่งกลุ่ม ทว่าไม่เพียงพอต่อการเข้ารอบ
อีก 2 ปีถัดมา พวกเขาได้ลุยอีกศึกใหญ่ยูโร 2000 แต่ก็จอดป้ายรอบแบ่งกลุ่มเหมือนเดิม และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่ขุนพลจากดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้เล่นทัวร์นาเมนต์ใหญ่
ไม่ว่าจะทุ่มเทและพยายามแค่ไหน แต่ นอร์เวย์ ก็ไม่สามารถผ่านรอบคัดเลือกไปเล่นในฟุตบอลโลก หรือว่า ชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปได้อีกเลยจนถึงปัจจุบัน
พวกเขาเริ่มต้นอย่างมีความหวังในทุกครั้ง แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยผลลัพธ์เดิมในฐานะผู้อกหัก และทำได้เพียงติดตามบอลโลกและยูโรผ่านหน้าจอทีวี
แต่สำหรับ "ฟุตบอลโลก 2026" ที่ตอนนี้อยู่ในรอบคัดเลือก นอร์เวย์ มีโอกาสดีมากที่จะหยุดช่วงเวลาแห่งการรอคอยได้เล่นกลับไปลุยรายการใหญ่เสียที
นอร์เวย์ จับสลากอยู่ในกลุ่ม ไอ ของรอบคัดเลือก โซนยุโรป มีทีมร่วมกลุ่มอย่าง อิตาลี, อิสราเอล, เอสโตเนีย และ มอลโดวา
มองตามหน้าเสื่อ คู่แข่งแย่งแชมป์กลุ่มเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจาก อิตาลี แชมป์โลก 4 สมัย ขณะที่ อิสราเอล อาจสอดแทรกและสร้างปัญหาให้กับทั้ง อิตาลี และ นอร์เวย์ เช่นกัน
ฟร้องซ์ 98 คือฟุตบอลโลกครั้งล่าสุดของนอร์เวย์
ตำแหน่งแชมป์กลุ่มเท่านั้นที่จะได้ตั๋วลุยรอบสุดท้ายโดยอัตโนมัติ ส่วนอันดับ 2 ต้องไปลุ้นในรอบเพลย์ออฟ
นอร์เวย์ ที่คุมทีมโดย สตาเล่ โซลบัคเค่น อดีตกองกลางชุดลุยฟร้องซ์ 98 เริ่มต้น 2 นัดแรกของรอบคัดเลือกในเดือนมีนาคมได้ตามเป้าบุกชนะ มอลโดวา 5-0 ต่อด้วยตบ อิสราเอล อีก 4-2
เกมชนะ อิสราเอล ถือว่าสำคัญต่อ นอร์เวย์ อย่างมากเพราะการเจอกันของคู่นี้ถูกมองว่าเป็นเกมแย่งที่ 2 และที่พิเศษคือ นอร์เวย์ ทำได้ในฐานะทีมเยือนแม้ว่าเล่นกันที่สนามกลางในฮังการี
ทีมของ โซลบัคเค่น จึงนำจ่าฝูงที่ 6 คะแนน ขณะที่ อิตาลี ไม่มีโปรแกรมในเดือนมีนาคมเพราะติดแข่งยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก และนัดแรกของทัพอัซซูรี่ก็คือไปเยือน นอร์เวย์ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา
นอร์เวย์ มีสถิติไม่ดีนักในการเจอกับ อิตาลี เพราะแพ้ถึง 10 จาก 17 นัด และชนะได้เพียง 3 นัด โดยครั้งสุดท้ายที่ทำได้ต้องย้อนไปในปี 2000 เลยทีเดียว
แต่ผลการแข่งขันออกมาผิดคาดทีเดียวเมื่อ นอร์เวย์ จัดการรัวชนะได้ถึง 3-0 ด้วยรูปเกมที่คู่ควรได้รับการชูมือ อเล็กซานเดอร์ ซอร์ล็อธ, อันโตนิโอ นูซ่า และ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ช่วยกันยิงคนละประตูนำห่างตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก
อิตาลี กลับมาไม่ได้เลยในครึ่งหลัง แม้พยายามเร่งเกมเต็มที่ ขณะที่ นอร์เวย์ ปิดเกมด้วยชัยชนะสวยงามพร้อมรักษาสถิติชนะรวด
นี่คือชัยชนะที่ทำให้แฟนบอลนอร์เวย์เชื่อว่าพวกเขามีลุ้นมากกว่าทุกครั้งกับการผ่านไปเล่นฟุตบอลโลก
เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ กับ มาร์ติน โอเดการ์ด
ความมั่นใจถูกต่อยอดด้วยการบุกชนะ เอสโตเนีย ได้อีกใน 3 วันถัดมา แม้เฉือนเพียงลูกเดียว แต่ก็เพียงพอทำให้มี 12 คะแนนเต็มจาก 4 นัดแรก
นอร์เวย์ จึงนำห่าง อิสราเอล 6 คะแนน และทิ้ง อิตาลี 9 คะแนน แม้ว่า อิสราเอล แข่งน้อยกว่า
1 นัด ขณะที่ อิตาลี เพิ่งเล่นไป 2 นัด
แม้ในอิตาลียังมีโปรแกรม 6 นัดในการเร่งเก็บแต้ม เช่นเดียวกับ อิสราเอล แต่ชัยชนะ 4 นัดรวดก็ทำให้ นอร์เวย์ อยู่ในสถานการณ์ที่ดีมาก และมีโอกาสมากกว่าทุกทีมในการคว้าแชมป์กลุ่ม
แถมโปรแกรม 4 นัดท้ายของ นอร์เวย์ ค่อนข้างเป็นใจเพราะ 3 นัดถัดไปได้เล่นในบ้านทั้งหมดพบ ฟินแลนด์ และ มอลโดว่า ในเดือนกันยายน และพบ อิสราเอล ในเดือนตุลาคม ส่วนนัดสุดท้ายของรอบคัดเลือกไปเยือน อิตาลี ในเดือนพฤศจิกายน
เดาใจ โซลบัคเค่น และลูกทีม คงต้องการปิดจ็อบคว้าตั๋วลุยรอบสุดท้ายให้ได้ใน 3 นัดต่อไปที่เล่นต่อหน้าแฟนบอลตัวเอง ไม่อยากยืดเยื้อไปจนถึงเกมเยือน อิตาลี ซึ่งเมื่่อถึงตอนนั้นมันก็เป็นไปได้ทั้งทัพอัซซูรี่มีลุ้นแซงเข้าป้าย หรือลุ้นจบที่ 2 และต่อให้ไม่ได้ลุ้นอะไร แฟนบอลอิตาลีก็คงยากเห็นทีมตัวเองล้างแค้นแข้งไวกิ้งคืนให้ได้
ถ้า นอร์เวย์ ชนะรวด 3 นัดต่อไปได้ โอกาสเป็นแชมป์กลุ่มได้ลุยบอลโลกน่าจะ 99.99 เปอร์เซ็นต์เพราะประตูได้-เสียตุนเอาไว้มากถึง +11 ประตู ดีกว่าทีมอื่นอย่างน้อย 10 ประตู
สตาเล่ โซลบัคเค่น กุนซือที่กำลังลุ้นพานอร์เวย์สร้างประวัติศาสตร์
วิเคราะห์ขุมกำลังของ นอร์เวย์ ชุดนี้แข็งแกร่งเพียงใด และทำไมจึงทำผลงานในครึ่งทางแรกของรอบคัดเลือกบอลโลกได้ยอดเยี่ยม
แน่นอนว่าสองซูเปอร์สตาร์ของทีมที่คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณเพิ่มเติมยังคงเป็น เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ดาวยิงจาก แมนฯ ซิตี้ และ มาร์ติน โอเดการ์ด กัปตันทีมจาก อาร์เซน่อล
ฮาแลนด์ ยิงได้ตลอด 4 นัดแรกของรอบคัดเลือก นำเป็นดาวซัลโวร่วมที่ 4 ประตู ส่วน โอเดการ์ด ก็ทำไป 5 แอสซิสต์ มากกว่าทุกคนในรายการ และเกมบุกชนะ เอสโตเนีย ก็น่าจะมีชื่อทำอีก 1 แอสซิสต์ด้วยเพราะจ่ายให้ ฮาแลนด์ ยิงแฉลบชนคานก่อนดาวยิงร่างยักษ์ตามซ้ำได้
แต่นอร์เวย์ไม่ได้มีแค่ 2 คนนี้ ในทีมยังมี อเล็กซานเดอร์ ซอร์ล็อธ ที่่่ฟอร์มเอาเรื่่องทีเดียวในช่วง 2 ปีหลังที่เล่นให้ บียาร์เรอัล ต่อด้วย แอตเลติโก มาดริด เขายิงไปแล้ว 3 ประตูในรอบคัดเลือกครั้งนี้
ในแนวรุกยังมี ยอร์เก้น สตรานด์ ลาร์เซ่น เป็นอะไหล่ที่น่าสนใจเพราะฟอร์มดีใช้ได้เลยกับ วูล์ฟส์ ในฤดูกาลล่าสุดที่ยิงในพรีเมียร์ลีก 14 ประตูทั้งที่เล่นในฐานะยืมตัวมาจาก เซลต้า บีโก้
เมื่อรวมกับ ฮาแลนด์ (31 ประตู) และ ซอร์ล็อธ (24 ประตู) เข้าไปด้วยเท่ากับว่า 3 กองหน้าของทีมชุดปัจจุบันนี้ ยิงรวมกันในระดับสโมสรได้ถึง 69 ประตู
ในภาพรวม นอร์เวย์ ชุดล่าสุดนี้ "เกินครึ่ง" ค้าแข้งใน 5 ลีกใหญ่ยุโรป นอกจากที่ไล่เรียงมาแล้วยังมี อันโตนิโอ นูซ่า จาก ไลป์ซิก ที่เด่นมากในเกมยำอิตาลี, มอร์เท่น ธอร์สบี้ กองกลางตัวเก่งจาก เจนัว และ ซานเดอร์ เบิร์ก ตัวรับคุณภาพจาก เบิร์นลีย์ ที่เพิ่งคว้าตั๋วคืนสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง
โชว์ฟอร์มดุดันไล่อัดอิตาลี 3-0 เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
ขณะที่เกมรับมี ยูเลียน ไรเออร์สัน จาก ดอร์ทมุนด์, คริสตอฟเฟอร์ อาเยอร์ จาก เบรนท์ฟอร์ด, เลโอ ออสติการ์ด จาก ฮอฟเฟ่นไฮม์ ซึ่ง 2 ปีก่อนอยู่ในชุดแชมป์เซเรีย อา กับ นาโปลี ส่วนนายทวารที่เสียไปเพียง 2 ประตูใน 4 นัดแรกคือ ออร์ยาน นีลันด์ จอมเก๋าจาก เซบีย่า
เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาสำหรับขุมกำลังของนอร์เวย์ชุดนี้ แถมยังสั่งสมประสบการณ์มาหลายทัวร์นาเมนต์ กระดูกบอลขัดมันได้ที่ และผ่านความผิดหวังมาไม่น้อยกว่าใคร ตรงนี้คือพลังชั้นดี
อายุอานามถือว่ากำลังหนุ่มแน่นเพราะนอกจาก นีลันด์ ผู้รักษาประตูแล้ว ที่เหลือไม่มีใครอายุถึง 30 ปีเลย
ฮาแลนด์ 25 ปี, โอเดการ์ด 26 ปี, สตรานด์ ลาร์เเซ่น 25 ปี, เบิร์ก 37ปี , ไรเออร์สัน 27 ปี, อาเยอร์ 27 ปี, ธอร์สบี้ 29 ปี และ นูซ่า 20 ปีฯลฯ
โซลบัคเค่น ที่เข้ามาคุมทีมในปี 2020 ปรับจูนทีมได้ลงตัวด้วยการลองผิดลองถูกมา 2 ทัวร์นาเมนต์ทั้งฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก และยูโร 2024 รอบคัดเลือก
เกมรับที่เคยมีปัญหาก็เหนียวแน่นขึ้น ไม่ได้พลาดง่ายๆ ส่วนเกมรุกที่มีดีอยู่แล้ว ก็ยิ่งดุดันอันตรายกว่าเดิมเมื่อทุกคนลงเล่นด้วยความกระหาย และมั่นใจว่าจะสานฝันร่วมกันให้ได้
25 ปีแล้วที่ นอร์เวย์ ไม่ได้เล่นทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ตอนนี้พวกเขากำลังสุกงอมได้ที่ องค์ประกอบทั้งหมดเกือบลงตัวในเวลาที่เหมาะสม และคงไม่มีโอกาสไหนที่ดีกว่านี้อีกแล้วกับการคว้าตั๋วสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปีหน้า