"moment of magic" ชี้ขาดหงส์เหนือปืน

ทั้งสองทีมเล่นกันได้ค่อนข้างสูสี และไม่ได้มีโอกาสที่เรียกว่า "big chance" ยกเว้นเพียงลูกยิงของ โนนี่ มาดูเอเก้ ซึ่งเป็นครั้งเดียวที่ อาร์เซน่อล ยิงเข้ากรอบในเกมนี้
สถิติต่างๆ ใกล้เคียงกันมากทั้งการครองบอล โอกาสลุ้นทำประตู และค่า xG ที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งมันน่าจบด้วยผลเสมอสำหรับเกมนี้หากไม่มีลูกฟรีคิกสุดมหัศจรรย์ของ โซบอสไล
สล็อต ให้ความเห็นหลังเกมว่า "ถ้าเราเล่นเกมนี้อีก 10 ครั้งในรูปแบบเดิม ผมว่ามันคงออกเสมอ 8 ครั้ง เราชนะ 1 ครั้ง และ อาร์เซน่อล ชนะ 1 ครั้ง"
"เกมนี้แทบไม่มีจังหวะตื่นเต้นหรือลุ้นประตูเกิดขึ้นเลย ซึ่งในบางมุมก็นับว่าเป็นเรื่องดี เพราะทั้งสองทีมมีระเบียบวินัยและเล่นเกมรับตอนเสียบอลได้อย่างยอดเยี่ยม"
"โดยปกติแล้วทั้งเราและ อาร์เซน่อล สามารถสร้างโอกาสได้มากกว่านี้ แต่เกมนี้ก็บอกอะไรบางอย่างถึงโครงสร้างทีมและวินัยที่นักเตะทั้งสองฝั่งมีเวลาไม่มีบอล"
"คุณต้องการช่วงเวลาพิเศษสักจังหวะ ซึ่งเราก็ได้มันจาก โดมินิค และก็ทำให้เราคว้าชัยชนะในเกมที่ปกติแล้วน่าจะจบด้วยการเสมอ"
ขณะที่ อาร์เตต้า กล่าวว่า "เราครองเกมได้ดีในสนามที่ยากมากๆ แบบนี้ เราพาทีมขึ้นไปเล่นในระดับที่สูงมากจริงๆ ส่วนช่วง 15-20 นาทีในครึ่งหลัง พวกเขาก็ทำได้ดีเช่นกัน และหลังจากนั้นเกมก็แทบไม่มีช่องว่างเหลืออีกแล้ว
"ทุกอย่างต้องตัดสินด้วยข้อผิดพลาดส่วนบุคคล หรือช่วงเวลาที่มหัศจรรย์ ซึ่งพวกเขามีจังหวะนั้นจากลูกยิงฟรีคิกสุดยอดของ โซบอสไล และกลายเป็นประตูชัย"
ฟรีคิกระดับโลกของ โซบอสไล
ก่อนลงสนามเกมนี้ อาร์เซน่อล ไม่แพ้ทีมในกลุ่ม "บิ๊กซิกซ์" มา 22 นัดติดต่อกัน เป็นช่วงเวลาที่ มิเกล อาร์เตต้า พาทีมสู้กับทีมใหญ่ด้วยกันได้อย่างยอดเยี่ยม
แต่ท้ายที่สุด สถิติของ อาร์เซน่อล ต้องถูกหยุดลง และแม้จะมาจากฟรีคิกสุดเหลือเชื่อในรูปเกมที่ตึงเครียด แต่ทีมของ อาร์เตต้า อาจต้องตั้งคำถามตัวเองด้วยเช่นกัน
ทีมปืนใหญ่มีส่วนในการทำให้ตัวเองแพ้ด้วยแผนการเล่นที่ดูเหมือนเน้นรัดกุมเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้หงส์แดงเร่งจังหวะเกมได้ง่าย
การเล่นของ อาร์เซน่อล คล้ายกับในอดีตยุคของ จอร์จ เกรแฮม ที่ขึ้นชื่อเรื่องเกมรับสุดเขี้ยว ไม่เปิดพื้นที่ และพยายามปิดโอกาสของคู่แข่งให้ได้มากที่สุด
ในครึ่งแรก แผนที่เตรียมมาถือว่าโอเคเพราะจบที่ 0-0 แถมมีจังหวะพาบอลเข้าไปในพื้นที่อันตรายได้มากกว่าฝั่งเจ้าถิ่น
ครึ่งหลัง อาร์เซน่อล หวังจะหาจังหวะสวนกลับหรือปิดเกมให้ได้เพราะจะว่าไปแล้วนี่ไม่ใช่ ลิเวอร์พูล ในเวอร์ชันที่น่ากลัวที่สุด แต่ปัญหาคือ ทีมของ อาร์เตต้า เองก็ไม่สามารถสร้าง "moment of magic" หรือช่วงเวลาที่พิเศษเพื่อพลิกโฉมหน้าของเกมได้เหมือนฟรีคิกของ โซบอสไล ในช่วงท้ายเกม
คำถามสำคัญสำหรับ อาร์เซน่อล ต่อจากนี้คือ พวกเขาจะใช้เวลานานแค่ไหนในการสร้าง "ช่วงเวลามหัศจรรย์" แบบนั้นได้ด้วยตัวเอง? ซึ่งเป็นสิ่งที่ชัดเจนว่า อาร์เตต้าพยายามพัฒนา นับตั้งแต่ฤดูกาลก่อน โดยเฉพาะผ่านการเสริมทัพที่มุ่งเน้นไปที่ความสร้างสรรค์และการจบสกอร์
ซาลีบา เจ็บตั้งแต่ต้นเกม
ตอนนี้สิ่งที่ทีมยังขาดคือ ความเข้าใจกันระหว่างผู้เล่นแนวรุก ซึ่งหลายคนยังใหม่กับทีมและยังเรียนรู้การเล่นของกันและกันอยู่
จากผู้เล่นแนวรุก 5 คนที่ได้ลงสนามที่แอนฟิลด์ มีถึง 4 คนที่เพิ่งย้ายเข้ามา สองคนได้ลงตัวจริง วิคตอร์ เยอเคเรส ที่แทบไม่ได้บอลให้เล่นเหมือนเกมกับ แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อสองสัปดาห์ก่อน และ โนนี่ มาดูเอเก้ ที่วิ่งได้ดีและสร้างความอันตรายได้บ้าง
จากนั้น อาร์เตต้า ส่ง เอเบเรชี่ เอเซ่ ที่เพิ่งย้ายจาก พาเลซ และ แม็กซ์ ดาวแมน เด็กวัย 15 ปีที่เพิ่งลงเล่นเกมเยือนพรีเมียร์ลีกนัดแรกในชีวิต และเป็นสนามอย่างแอนฟิลด์ด้วย
ในแนวรุกชุดนี้ มีเพียง กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ คนเดียวที่อยู่กับทีมมานาน และถึงเขาจะขยันวิ่งไล่ แต่ก็ไม่มีผลงานที่เป็นรูปธรรมมากนัก และหลายจังหวะฝืนเล่นคนเดียวจนเสียบอลบ่อยครั้ง
แน่นอนว่าความเข้าใจในเกมจะดีขึ้นเมื่อผู้เล่นเริ่มจูนติดกันมากขึ้น อาร์เตต้า ต้องเร่งวางระบบให้ทุกคนรู้ใจ ช่วยกันสร้างสรรค์โอกาสและจังหวะเข้าทำที่เฉียบคมขึ้น แต่ทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลา
การสร้าง "ความเข้าใจในสนาม" ระหว่างผู้เล่นใหม่มันไม่ใช่แค่เรื่องเงินเสริมทัพที่ทุ่มไปไม่น้อยในช่วงซัมเมอร์ มันต้องอาศัยเวลา การฝึกซ้อม และการลงสนามร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
การบาดเจ็บของ บูคาโย่ ซาก้า, ไค ฮาแวร์ตซ์ และล่าสุดคือ วิลเลียม ซาลีบา ก็ทำให้หลายคนในทีมต้องเร่งลงสนามโดยที่ยังไม่ทันปรับตัวเต็มที่
เอเซ่ ได้ประเดิมสนาม
รายของ ซาลีบา ที่ถูกเปลี่ยนตัวออกหลังลงเล่นได้เพียง 5 นาที ทำให้ อาร์เซน่อล ต้องใช้งานนักเตะใหม่ใน 3 ตำแหน่ง คริสเตียน มอสเกร่า ในแนวรับ, มาร์ติน ซูบิเมนดี้ ในแดนกลาง และ เยอเคเรส กับ มาดูเอเก้ ในแนวรุก
ทั้งหมดนี้อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ อาร์เซน่อล เลือกใช้แนวทางที่อนุรักษ์นิยมมากขึ้นในเกมนี้ และต้องบอกว่า มันก็ทำได้ดีพอตัว เพราะ ลิเวอร์พูล ก็ดูหงุดหงิดกับการเจาะเกมรับไม่ได้ในช่วง 60 นาทีแรก
อาจไม่ใช่สไตล์ที่ทุกคนชอบ แต่ถ้าเทียบกับช่วงที่ อาร์เซน่อล เคยโดนทีมใหญ่ถล่มยับ แผนนี้ก็ดูมีพัฒนาการ และการที่ ลิเวอร์พูล ดูสับสนกับการเจาะแนวรับ อาร์เซน่อล ก็แสดงให้เห็นว่าทีมของ อาร์เตต้า มาไกลจากจุดเดิมมาก
อาร์เตต้า ไม่เห็นด้วยกับเสียงวิจารณ์ที่ว่าทีมเขามาเพื่อถ่วงเกม "เรามาเพื่อชนะ" เขาย้ำ
อาร์เซน่อล พยายามเร่งเกมด้วยการส่ง เอเซ่ และ มาร์ติน โอเดการ์ด ลงมาในช่วง 20 นาทีสุดท้าย แต่เมื่อเป็น ลิเวอร์พูล ที่เร่งสปีดเกมได้ก่อน พวกเขาก็เป็นฝ่ายที่สร้างช่วงเวลามหัศจรรย์ที่นำไปสู่ชัยชนะได้
ความพ่ายแพ้นัดแรกในเกมที่ 3 ของฤดูกาล และเป็นเกมสุดยากที่แอนฟิลด์ อาจจะไม่เสียหายมากนัก แต่ อาร์เซน่อล ก็มีการบ้านต้องทำอีกเพียบเพื่อให้โอกาสครั้งหน้าสามารถสร้างโมเมนต์แบบฟรีคิกของ โซบอสไล ที่นำไปสู่ชัยชนะได้