ของดีไม่จำเป็นต้องแพง

มอสเกร่า ย้ายมาจาก บาเลนเซีย ในลา ลีกา สเปน ด้วยค่าตัวเบื้องต้น 13 ล้านปอนด์ บวกโบนัสอีก 3 ล้านปอนด์
ปราการหลังวัย 21 ปี เป็นกำลังสำคัญของ "ไอ้ค้างคาว" ตลอดสองฤดูกาลหลังสุดที่พลาดเกมลีกรวมกันเพียง 3 นัดเท่านั้น เรียกได้ว่ามีสถานะเป็นตัวหลักของทีมมาตั้งแต่อายุ 19 ปีเลยทีเดียว
เหตุผลที่ มอสเกร่า ไม่ได้รับการจับตามองมากเมื่อเทียบกับแข้งใหม่รายอื่นของ อาร์เซน่อล ทั้ง วิคตอร์ เยอเคเรส, มาร์ติน ซูบีเมนดี้, โนนี่ มาดูเอเก้ และ เอเบเรชี่ เอเซ่ เพราะเขาถูกดึงมาในฐานะกำลังเสริม มากกว่าเข้ามาเป็นตัวจริง
ในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก มิเกล อาร์เตต้า มีตัวจริงอยู่แล้วคือ วิลเลียม ซาลีบา กับ กาเบรียล มากัลเญส ที่จับคู่กันมาสามฤดูกาลแล้ว ขณะที่สำรองในวันที่ มอสเกร่า ย้ายมา ก็ยังมี ยาคุบ คีวิออร์ และแม้ คีวิออร์ ย้ายไป ปอร์โต้ ปิเอโร่ อินกาปีเอ้ กองหลังจาก เลเวอร์คูเซ่น ก็ถูกดึงเข้ามาทดแทน
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายคนในทีมที่เล่นเซนเตอร์ได้ทั้ง ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่, ยูร์เรียน ทิมเบอร์ และ เบน ไวท์ ดังนั้นการมาของ มอสเกร่า จึงเหมือนเป็นการซื้อเพื่ออนาคต ไม่น่าจะได้ลงสนามเท่าไหร่ในฤดูกาลแรก
อย่างไรก็ตาม หลังฤดูกาลเปิดฉากมาเพียงเดือนเดียวกลับมีคำถามที่ไม่น่าเป็นไปได้เกิดขึ้น นั่นคือ มิเกล อาร์เตต้า จะเลือก มอสเกร่า หรือ ซาลีบา เป็นตัวจริงคู่กับ กาเบรียล ในเกมบิ๊กแมตช์ปะทะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายนนี้
เป็นแกนหลักค้างคาวสองปีก่อนย้ายมาปืนใหญ่
สถานการณ์ที่แข้งโนเนมจากแดนกระทิงดุกลายเป็นตัวเลือกที่อาจเบียด ซาลีบา ลงเล่นในเกมใหญ่แบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรโดยเฉพาะหากมองย้อนกลับไปในวันที่ย้ายมาร่วมทีม
นั่นเป็นเพราะแนวรับคนใหม่จากสเปนสร้างผลงานได้อย่างน่าทึ่งในทันทีที่ได้รับโอกาส
มอสเกร่า ได้ลงเล่นในเกมใหญ่ครั้งแรกในนัดบุกเยือน ลิเวอร์พูล หลังต้องลงแทน ซาลีบา ที่บาดเจ็บตั้งแต่ 5 นาทีแรก หลังก่อนหน้านี้ลงเป็นสำรอง 25 นาทีสุดท้ายในเกมชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด 5-0
เล่นเกมเยือนครั้งแรกก็เป็นสนามที่ยากที่สุดอย่าง "แอนฟิลด์" ซึ่งแม้แต่ผู้เล่นมากประสบการณ์ที่เล่นในอังกฤษมาหลายปียังแข้งขาสั่น
สิ่งที่ คริสเตียน มอสเกร่า ทำในวินาทีที่แฟนบอลปืนใหญ่ใจคอไม่ดีเมื่อตัวหลักอย่าง ซาลีบา บาดเจ็บคือ แสดงคุณภาพที่มีให้ทุกคนได้เห็น
มอสเกร่า ปรับตัวเข้ากับการเล่นตรงหน้าได้อย่างน่าทึ่ง เขายืนปักหลักช่วยเกมรับให้ทีมได้อย่างแข็งแกร่ง และไม่ก่อความผิดพลาดใดๆ เลยทั้งที่ต้องรับมือแนวรุกสุดพระกาฬของ ลิเวอร์พูล ที่นำโดย โมฮาเหม็ด ซาลาห์
ตลอดเวลาเกือบเต็มเกมที่แอนฟิลด์ มอสเกร่า จ่ายบอลเข้าเป้าถึง 92 เปอร์เซ็นต์ และเข้าแท็กเกิลอีก 4 ครั้ง ชนะรวด แถมยังเคลียร์บอลได้อีก 3 ครั้ง
สอบผ่านที่แอนฟิลด์
ด้วยเกมรับที่ยอดเยี่ยม อาร์เซน่อล เกือบดึงผลเสมอกลับออกมาได้แล้วหากไม่โดนฟรีคิกสุดมหัศจรรย์ของ โดมินิค โซบอสไล ในช่วงท้ายเกม
นัดต่อมาที่กลับมาเล่นในบ้านพบ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ มอสเกร่า จึงได้รับความไว้วางใจให้ออกสตาร์ตตั้งแต่นาทีแรกเพราะ ซาลีบา ยังไม่หายเจ็บ
มอสเกร่า ทำผลงานได้ดีเยี่ยมอีกนัดด้วยการเป็นผู้เล่นที่สัมผัสบอลมากสุดในทีมที่ 92 ครั้ง ผ่านบอลสำเร็จ 91 เปอร์เซ็นต์ เคลียร์บอล 4 ครั้ง ตัดบอล 2 ครั้ง และเข้าแท็กเกิลชนะ 2 ครั้ง
อาร์เซ่นอล เก็บชัยชนะสวยงาม 3-0 พร้อมกับคำชมที่มากขึ้นสำหรับ คริสเตียน มอสเกร่า
อันที่จริงในเกมถลกหนังเจ้าป่า ซาลีบา สามารถกลับมาซ้อมได้แล้ว แต่ด้วยคุณภาพของ มอสเกร่า จากเกมกับ ลิเวอร์พูล และในช่วงการฝึกซ้อม อาร์เตต้า จึงไม่จำเป็นต้องเร่งแนวรับชาวฝรั่งเศสลงสนาม และเลือกมอบโอกาสให้ดาวรุ่งคนใหม่ลงสนามอีกนัด และต่อเนื่องมาจนถึงแมตช์แรกของทีมในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
อาร์เซน่อล ต้องไปเยือน แอธ.บิลเบา ที่ซาน มาเมส หนึ่งในสนามที่ยากที่สุดสำหรับทีมเยือน โดยในสองฤดูกาลหลังสุด บิลเบา แพ้เกมลีกคาบ้านรวมกันเพียง 3 นัดเท่านั้นซึ่งเป็นการเจอกับ เรอัล มาดริด, แอต.มาดริด และ บาร์เซโลน่า
เรียกได้ว่าเกมในบ้านของ แอธ.บิลเบา แข็งแกร่งสุดๆ และเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำคัญสำหรับ อาร์เซน่อล
ผลงานคุณภาพคับแก้วในการเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งแรก
มอสเกร่า ถูกเลือกลงตัวจริงอีกครั้ง แม้ว่า ซาลีบา จะฟิตสมบูรณ์แล้ว และเป็นการลงเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งแรกของเจ้าตัวอีกด้วย
เกมจบลงด้วยการที่ มอสเกร่า เป็นผู้เล่นที่สัมผัสบอลมากสุดของทีมที่ 93 ครั้ง จ่ายบอลมากสุด 79 ครั้ง เข้าเป้า 75 ครั้ง หรือคิดเป็น 95 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
นอกจากนี้ยังดวลกลางอากาศชนะอีก 5 ครั้ง มากสุดในทีมอีกเช่นกัน แถมยังเคลียร์บอลได้อีก 6 ครั้ง มากเป็นอันดับสองรองจาก กาเบรียล มากัลเญส (10 ครั้ง)
บิลเบา ได้โอกาสลุ้นยิง 11 ครั้งเท่ากับ อาร์เซน่อล แต่โอกาสลุ้นยิงส่วนใหญ่ของเจ้าถิ่นไปติดบล็อกเกมรับปืนใหญ่ ขณะที่ ดาบิด ราย่า ได้ออกแรงเซฟเพียง 2 ครั้งที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย
อีกสถิติที่บ่งบอกถึงการได้รับความเชื่อมั่นจากเพื่อนร่วมทีมมากขึ้นคือ มอสเกร่า กลายเป็นผู้เล่นที่เพื่อนร่วมทีม "ต่อบอล" ด้วยมากสุด เขาเป็นแกนกลางที่เชื่อมการต่อบอลโดยมี กาเบรียล อยู่ซ้ายมือ, ทิมเบอร์ เลื่อมขึ้นทางขวา และ ซูบีเมนดี้ รอตรงกลาง
แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งแรกของ มอสเกร่า สอบผ่านอย่างไม่ต้องสงสัย และมีส่วนอย่างมากในการช่วยให้ทีมเก็บชัยชนะได้ในการเริ่มต้นรายการนี้
การจ่ายบอลของ มอสเกร่า ในเกมกับ บิลเบา
ผลงานตลอด 3 นัดหลังสุดของ มอสเกร่า ทำให้หลายคนเทคะแนนเสียงเชียร์ว่ามีโอกาสลงตัวจริงในเกมกับ แมนฯ ซิตี้ และสร้างความลำบากใจให้กับ มิเกล อาร์เตต้า ไม่น้อยสำหรับการตัดสินใจสุดท้าย
ไม่ว่า มอสเกร่า จะถูกเลือกหรือไม่สำหรับบิ๊กแมตช์วันอาทิตย์นี้ แต่การที่เขาถูกพูดถึงว่าในระดับที่ว่าสามารถแทนตัวหลักได้สบาย และยิ่งเล่นก็ยิ่งดี มันจึงเหมือนการย้ายมาครั้งนี้เป็นอีกดีลที่ อาร์เซน่อล เสริมทัพได้เข้าเป้า
หลายคนจึงพอเข้าใจได้มากขึ้นว่าทำไม อันเดรีย แบร์ต้า จึงเร่งมือและผลักดันในดีลนี้อย่างเต็มที่ และสามารถดึงมาร่วมทีมได้ด้วยค่าตัวสุดถูกเหลือเชื่อ 13 ล้านปอนด์
ด้วยค่าตัวที่สวนทางกับคุณภาพฝีเท้า คริสเตียน มอสเกร่า อาจกลายเป็น "Steal of the summer" หรือ "ดีลเหนือเมฆ" ประจำซัมเมอร์นี้ และจะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญไล่ล่าแชมป์ของ อาร์เซน่อล ในฤดูกาลนี้
เช่นเดียวกับตอกย้ำอีกครั้งว่า "ของดีไม่จำเป็นต้องแพง" เสมอไป