ขยายสนาม : โจทย์ใหญ่ที่เป็นทั้ง 'โอกาส' และ 'อุปสรรค'

เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เปิดใช้งานครั้งแรกในปี 2006 และกลายเป็นรังเหย้าของ อาร์เซน่อล มาจนถึงฤดูกาลปัจจุบันซึ่งเป็นฤดูกาลที่ 20 พอดี
สโมสรได้รับอนุมัติจากสภาให้สร้างสนามใหม่ในพื้นที่แอชเบอร์ตัน โกรฟเมื่อปี 2001 ซึ่ง อาร์แซน เวนเกอร์ ผู้จัดการทีมในขณะนั้น เรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็น "การตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอาร์เซนอล" นับตั้งแต่ที่บอร์ดบริหารแต่งตั้ง เฮอร์เบิร์ต แชปแมน เป็นกุนซือในช่วงทศวรรษ 1920
ช่วงแรกติดปัญหาทางการเงินจนต้องเลื่อนการก่อสร้างไปในปี 2004 ก่อนแล้วเสร็จในปี 2006 ด้วยงบประมาณ 390 ล้านปอนด์ซึ่งถ้าคิดตามอัตราเงินเฟ้อสะสมของสหราชอาณาจักรก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 645 ล้านปอนด์ในค่าเงินปี 2025
เวนเกอร์ กล่าวถึงการสร้างสนามแห่งใหม่ในตอนนั้นว่า "ในช่วงหนึ่ง โปรเจกต์นี้มีโอกาสสำเร็จแค่ 50-50 เพราะมันซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูงมาก"
"แต่บอร์ดบริหารรู้สึกว่าเราต้องลุย เพราะถ้าไม่ลุย เราอาจเสี่ยงที่จะตายในการแข่งขันระดับสูง"
คำพูดของ เวนเกอร์ ไม่ได้เกินจริงเพราะวงการฟุตบอลกำลังเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว หลายสโมสรมีเจ้าของทีมต่างชาติที่ทุ่มเงินมหาศาลในการสร้างทีม และสนามเหย้าที่เพิ่มความจุไม่ได้อีกแล้วอย่าง ไฮบิวรี่ จะกลายเป็นข้อจำกัดในการลุ้นแชมป์ระยะยาวของทีม
อาร์แซน เวนเกอร์ ผู้ผลักดันให้ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม กลายเป็นรังเหย้าใหม่
ไฮบิวรี่ รองรับผู้คนได้เพียง 38,000 ที่นั่ง เมื่อแฟนบอลจำนวนมากไม่สามารถเข้าไปในสนามได้ โอกาสสร้างรายได้ของสโมสรและกลุ่มสปอนเซอร์ก็ถูกจำกัด
วันนี้ ปัญหาเดิมของ อาร์เซน่อล กลับมาอีกครั้ง ว่ากันว่ามีแฟนบอลต่อคิวรอซื้อตั๋วปีแตะหลักหนึ่งแสนคนไปแล้ว
ถ้ามองว่านี่คือปัญหาที่ดีก็สามารถพูดได้ แม้ อาร์เซน่อล ไม่ได้เป็นแชมป์ลีกมานานเกินยี่สิบปีแล้ว แต่ภาพรวมของทีมกำลังเดินหน้าได้แข็งแกร่ง ความต้องการตั๋วเข้าชมเกมพุ่งสูงไม่หยุด และทำให้ อาร์เซน่อล ต้องพิจารณาอย่างหนัก
อาร์เซน่อล กำลังวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันด้วยแนวคิดคล้ายๆ วันที่กำลังจะย้ายจากไฮบิวรี่มาเป็นเอมิเรสต์ สเตเดี้ยม พวกเขารู้ดีว่าหยุดนิ่งไม่ได้ และต้องลงมือเพื่อจะก้าวต่อไป
มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคาดการณ์ว่าความจุสนามที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไหร่ แต่สำหรับมุมมองของครอบครัวโครเอนเก้ พวกเขาแสดงจุดยืนชัดเจนว่าต้องการให้ อาร์เซน่อล มีความทะเยอทะยานและมีความคิดสร้างสรรค์”
โดยปกติแล้ว โครงการขนาดนี้จะมีการศึกษาความเป็นไปได้หลากหลายแนวทาง ไม่ใช่แค่เรื่องความจุของสนาม แต่ยังรวมถึงการปรับปรุงและยกระดับประสบการณ์ในสนามทั้งหมดให้ทันสมัยและเป็นดิจิทัล
อาร์เซน่อล รู้ว่า วิธีง่ายที่สุดในการเพิ่มที่นั่งอีกไม่กี่พันคือ ลดขนาดที่นั่งในโซนทั่วไป (ชั้นล่างและชั้นบน) ที่กว้างพอสมควร โดยยังคงความสบายไว้ในโซนวีไอพีที่มีราคาสูงขึ้นอย่าง "Club Level"
อองรี, วิเอร่า และ เวนเกอร์ ในวันที่กำลังย้ายสู่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
การปรับลดขนาดนี้สามารถทำทีละน้อยได้ช่วงปิดฤดูกาล และจะช่วยเพิ่มความจุได้โดยไม่ต้องย้ายออกจากเอมิเรตส์
แต่ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ "ใหญ่กว่านั้น" ก็อาจต้องหาบ้านชั่วคราว ซึ่งตัวเลือกแรกคือ "เวมบลีย์" ทว่าแฟนบอลไม่ค่อยปลื้มมากนัก
แฟนรุ่นเก่าที่ยังจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ อาร์เซน่อล ใช้เวมบลีย์เป็นสนามเหย้าในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เพื่อให้แฟนบอลเข้าชมได้มากขึ้น
ในเวลานั้น ยูฟ่ามีกฎหลายข้อเกี่ยวกับจำนวนที่นั่งที่ต้องกันไว้สำหรับแขกวีไอพีและต้องเว้นแถวหน้าทั้งสนามเพราะใช้ติดป้ายโฆษณาเฉพาะ สนามไฮบิวรี่ติดขัดในเรื่องนี้ ดังนั้นการย้ายไปเวมบลีย์จึงเป็นทางการ และมีแฟนบอลเข้าสนามได้มากกว่าเดิมอีกเท่าตัว
การเล่นในเวมบลีย์ชั่วคราวเหมือนทดสอบความสนใจจากแฟนบอลจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ และในเวลาต่อมาก็กลายเป็นเหตุผลหลักในการสร้างสนามแห่งใหม่ ทว่าผลงานสนามกลับตรงกันข้าม
ความรู้สึกของ อาร์เซน่อล ในตอนนั้นเหมือนเล่น "สนามกลาง" มากกว่าจะเป็นรังเหย้าของตัวเอง ตรงนี้จึงไม่ได้สร้างความได้เปรียบเหนือควรจะเป็น พลังและบรรยากาศของสนามเหย้าหายไป ขณะที่ทีมเยือนกลับฮึกเหิมที่ได้เล่นที่สนามเวมบลีย์อันโด่งดัง
ผลงานไม่ดีในช่วงที่เคยใช้เวมบลีย์
ดินาโม เคียฟ เล่นได้ยอดเยี่ยมในเกมเสมอ 1-1 ขณะที่ บาร์เซโลนา และ ฟิออเรนตินา ควักชัยชนะกลับออกไปได้ ไม่เว้นแม้แต่ ล็องส์ ที่ได้ 3 คะแนนเช่นกัน อาร์เซน่อลชนะเพียง 2 จาก 6 เกมเหย้าในเวมบลีย์
สำหรับแฟนบอล ปัญหาการเดินทางคือเรื่องใหญ่อีกเรื่อง
สถานี King's Cross เพื่อเชื่อมต่อไปสนามเวมบลีย์มักถูกปิด เพราะความหนาแน่นของคนช่วงชั่วโมงเร่งด่วนผสมกับแฟนบอลนับพัน หลายคนต้องเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่นเพื่อหาทางไปเวมบลีย์
และตอนจบเกม ก็ต้องรอคิวนานนับชั่วโมงและต่อสู้กับคลื่นฝูงชนหลายหมื่นเพื่อขึ้นรถไฟที่สถานี Wembley Park นี่คือปัญหาอย่างยิ่งสำหรับแฟนบอล
เวมบลีย์ จึงไม่ควรเป็นทางเลือกเดียวหาก อาร์เซน่อล ต้องเช่าสนามชั่วคราว 1-2 ปีระหว่างขยายสนามเอมิเรตส์ และด้วยเหตุผลเรื่องศักดิ์ศรี การแชร์สนามร่วมกับคู่แข่งร่วมเมืองอย่าง ท็อตแน่ม ก็คงถูกตัดออกทันที
อีกทางเลือกคือ ลอนดอน สเตเดี้ยม ของเวสต์แฮม ซึ่งแม้มันจะไม่ใช่สนามที่สร้างบรรยากาศดีนัก แต่ในแง่ทำเลถือว่าใกล้กว่า และค่าเช่าก็น่าจะถูกกว่ามาก
ส่วนในมุมการสร้างทีมของ มิเกล อาร์เตต้า การย้ายไปรังเหย้าใหม่ชั่วคราวอาจไม่ใช่เรื่องที่เขาเต็มใจมากนักเพราะช่วงหลายปีที่ผ่านมา กุนซือชาวสเปนพยายามทำให้เอมิเรตส์ มีบรรยากาศในบ้านที่เปี่ยมด้วยพลัง มีอารมณ์ร่วมระหว่างแฟนบอลกับนักเตะ เขาคงไม่อยากปล่อยสิ่งนี้ไปง่ายๆ
ก้าวต่อไปของ อาร์เซน่อล สำคัญมาก
การย้ายออกจากบ้านแม้แค่ชั่วคราว ย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย มันคือรอยต่อที่ไม่น่ารื่นรมณ์นักระหว่างการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ แต่หากมองถึงความจำเป็นก็ไม่มีอะไรที่จะหยุดความตั้งใจของ อาร์เซน่อล ได้
เมื่อครั้งที่สนามเอมิเรตส์เปิดตัว มันถูกมองว่าเป็นสนามที่ล้ำยุคที่สุด แต่เวลาผ่านไป เทคโนโลยีได้เปลี่ยนชีวิตประจำวันของเรา การปรับปรุงสนามให้ทันสมัยเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ในปัจจุบันมีปัญหาหลายอย่าง เช่น ญญาณโทรศัพท์มือถือค่อนข้างแย่ ระบบเสียงยังมีปัญหาในบางจุดของสนาม การบริการอาหารและเครื่องดื่มก็ไม่สะดวกรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ควรมาพร้อมกับการเพิ่มความจุ
ทีมสถาปนิกที่จะเข้ามา ต้องนำมาตรฐานระดับสูงมาใช้ไม่ว่าจะเป็น การปรับขนาดเบาะที่นั่ง ปรับความชันของอัฒจันทร์ หรือแม้แต่การรื้อหลังคาเพื่อเพิ่มชั้นที่นั่งใหม่
ยังมีอีกหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับ "บรรยากาศ" ในสนามให้มีเอกลักษณ์ และสามารถข่มขวัญคู่แข่งให้ได้เหมือนที่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มี "Yellow Wall" หรือแม้กระทั่งแอนฟิลด์ของ ลิเวอร์พูล
นอกจากตัวสนามเองแล้ว ยังมีสิ่งอื่นใน "โครงสร้างพื้นฐาน" ที่ต้องจัดการเช่นกัน
ครอบครัวโครเอนเก้มีเรื่องให้ต้องตัดสินอย่างถี่ถ้วน
การร่วมมือกับสภาท้องถิ่น หน่วยฉุกเฉิน และ ระบบขนส่งลอนดอน (TfL) เพื่อวางแผนการรองรับคนเพิ่มอีก 10,000 คน (หรือมากกว่านั้น) ให้สามารถเดินทางเข้า-ออกสนามได้อย่างปลอดภัย นี่คืออุปสรรคใหญ่มาก
ในปัจจุบัน สองสถานีที่ใกล้กับเอมิเรตส์ และเปิดใช้งานตามปกติในวันธรรมดา แต่จะปิดให้บริการในแข่งขัน ไม่ผ่านเกณฑ์ความปลอดภัยสำหรับฝูงชนขนาดใหญ่
สถานี Holloway Road เป็นสถานีขนาดเล็ก และใช้ลิฟต์เก่าหลายตัวสำหรับขึ้นลงจากชานชาลา แถมทางเข้าสถานีก็อยู่บนถนนสายหลัก ไม่มีพื้นที่ให้แฟนบอลยืนรอคิวได้อย่างปลอดภัย ส่วน สถานี Drayton Park เป็นสถานีรถไฟเล็กๆ สไตล์ชานเมือง หากมีฝูงชนมากเกินไปจะอันตรายมาก ในวันที่ อาร์เซน่อล ตัดสินใจสร้างสนามเอมิเรตส์เมื่อเกือบ 20 กว่าปีก่อน พวกเขาต้องเดิมพันทุกอย่างกับอนาคต วันนี้ สถานการณ์คล้ายเดิมกำลังย้อนกลับมาอีกครั้ง ความมนิยมจากแฟนบอล และพลังทางการตลาด กำลังท้าทายความสามารถของสนามปัจจุบันในการรองรับสิ่งเหล่านี้
การขยายสนามจึงไม่ใช่แค่เรื่องของ "จำนวนที่นั่ง" แต่เป็นเรื่องของ "ทิศทางของสโมสร" ว่าจะกล้าเดินหน้าไปข้างหน้าอีกก้าวหรือไม่ เพราะนี่เป็นทั้งโอกาสครั้งสำคัญที่มีอุปสรรคมากมายเช่นกัน
เอมิเรตส์ เคยเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์สโมสร และถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้ง ก็ไม่ใช่เพราะความฟุ่มเฟือย แต่เป็นเพราะสโมสรไม่สามารถหยุดนิ่งได้ในโลกฟุตบอลที่หมุนเร็วอย่างทุกวันนี้